วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

เหตุของการเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ

เหตุของโรคแห่งความเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ
1.ทำงานมากเกินไป และไม่ได้สนใจดูแลร่างกาย
2.นอนดึกใกล้เที่ยงคืน
3.กินของหวานตอนดึก
4.ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า วันละหนึ่งลิตรขึ้นไป  
4.ดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว เป็นกาแฟ ทรี-อิน-วัน มีส่วนผสม น้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ
อาการของความเสื่อม
          1.เริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย
          2.มีจิตใจหงุดหงิด รำคาญ เจ้าระเบียบมากขึ้น
         3.ความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา
         4.ไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา
         5.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 
         6.อ้วนลงพุง คือน้ำหนักเกิน เอวใหญ่

วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..มันไม่ได้ผล
“ถ้ากินยาตามหมอสั่งได้สักสองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม แล้วอาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาท จิตใจยิ่งแย่
ให้รู้ว่าถ้ามีความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ แล้วไม่ดีขึ้น วันข้างหน้าถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส ทำแล้วถ้าไม่ดีขึ้น ก็ตายได้ง่ายๆ”

งานวิจัย EUROASPIRE

ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตาม 12 ปี
คนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาสพ่านไป 12 ปี ไข้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

เรื่องความอ้วน ยิ่งรักษาก็ยิ่งอ้วน ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

คนไข้ที่มีความดันเลือดสูง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง

คนเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% สรุปผลคือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปอาการยิ่งแย่ลง

งานวิจัยของ น.พ Caldwell Esselstyn  
หมอทางด้านผ่าตัดต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน มาสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้
พบว่าคนไข้ที่กินแต่อาหารมังสะวิรัตนาน 5 ปี เมื่อทำการสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น รอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป หลอดเลือดเป็นปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ชี้ว่าการปรับอาหารการกินทำให้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบดีขึ้นได้

งานวิจัยของ น.พ  Dean Ornish เป็นหมอหัวใจ 
เป็นงานวิจัยที่เอาคนไข้โรคหัวใจแบ่งเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่งเป็น กลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ

กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ต้องปรับชีวิต สามอย่าง ได้แก่
(1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน
(2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง
(3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน

ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก
ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ
ในปีที่หนึ่ง กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ในปีที่ห้า ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า 
เป็นการวิจัยที่ยืนยันได้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นมันหายได้ด้วย
การกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก
ออกกำลังกาย
และจัดการความเครียด
สำหรับโรคความดันเลือดสูง มีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก ที่เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ที่สรุปได้ว่า
ถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิลลิเมตรปรอท
ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิลลิปรอท
ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิลลิปรอท
ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิลลิปรอท
ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

สำหรับเบาหวาน มีงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวาน  งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย  DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม
 กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด
กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวาน
กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน
แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้

กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด
กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา
ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

มีงานวิจัย มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน
เป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจว่า น้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด
ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ไขมันทรานส์ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแล้วหันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง  แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์ แล้วทำการโฆษณากันอย่างใหญ่โตว่าดีสำหรับสุขภาพเพราะไม่มี คลอเลสเตอรอล เพื่อนคู่มิตรกับกาแฟใช้แทนความมันจากนมวัว
การดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” เท่ากับใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกินเค้กเป็นมื้อดึกอีก เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด

ยังมีข้อสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันไตรกลีเชอไรด์ ทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้นอีก ที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน  35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ เช่นโค้ก

หมายเหตุ  processed vegetable oil หรือ “น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ” นี้เป็นคำพูดกำกวมสองแง่สองง่าม คือ
    
1 มันอาจหมายถึงกระบวนการทำไขมันทรานส์ ด้วยการเอาน้ำมันไม่อิ่มตัวเช่นน้ำมันถั่วเหลืองมาใส่ในหม้อต้ม ใสไฮโดรเจนเข้าไป (hydrogenation) ใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไป ต้มไว้หลายชั่วโมงข้ามวันข้ามคืน จนแขนที่ว่างงานอยู่ในโมเลกุลของมันผละออกจากกันจากเดิมที่เคยจับกันแบบ cis เปลี่ยนมาจับกันแบบ trans ทำให้ตัวน้ำมันกลายเป็นของแข็ง ผลผลิตที่ได้ก็คือไขมันทรานส์เช่น เนยเทียม ครีมเทียม ซึ่งเป็นไขมันก่อโรคมากที่สุด


    2 มันอาจหมายถึงกระบวนการทำน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร โดยการใช้สารทำละลายเช่นเฮกเซน (hexane) เข้าไปสกัดเอาน้ำมันออกมาจากเมล็ดพืชเช่นถั่วเหลืองป่น หรือรำข้าว พอได้น้ำมันออกมาแล้วก็ต้มให้เฮกเซนระเหยออกไปเหลือแต่น้ำมันพืช ผลสุดท้ายที่ได้คือน้ำมันพืชซึ่งเป็นของเหลว ถ้าใช้ถั่วเหลืองก็เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ก่อโรค สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย คนละเรื่องกับไขมันทรานส์เลย

    มีคนใช้คำว่า “น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ” ทำให้คนฟังเข้าใจไขว้เขวว่ามันเป็นน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหารทั่วไปเช่นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ขณะเดียวกันก็ไปเอาความชั่วร้ายของไขมันทรานส์มาบรรยายสรรพคุณ ทำให้คนฟังเข้าใจผิดว่าน้ำมันปรุงอาหารเช่นน้ำมันถั่วเหลืองมีคุณสมบัติชั่วร้ายอย่างไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นการก่อความเข้าใจที่ผิด ถึงขนาดบอกไปตามสังคมอินเตอร์เนทว่า บริษัทน้ำมันพืชจะเจ้งหมดแล้วเพราะปีหน้าอเมริกาจะห้ามใช้ไขมันทรานส์ 

ทางที่จะชนะโรคแห่งความเสื่อมนี้ต้องปรับชีวิตในสี่ประเด็น
1.อาหาร
2.ออกกำลังกาย
3.จัดการความเครียด
4.การเอาพิษออกจากร่างกาย

1.เรื่องอาหาร เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นน้ำเปล่าเลิกกินเค้ก  ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง
หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง ถ้าเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที (เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที) ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท คนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามิน ก็ใช้เครื่องนี้นี้ปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว
เช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยใส่กระติกน้ำร้อนจุหนึ่งลิตรไปดื่มทั้งวัน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานผักสลัด กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่อบเองทำอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวทานอาหารปกติ แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะ ชีวิตแบบนี้จะ สุขสบายกว่าเดิม

2.เรื่องการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายให้ได้ผลดี ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งตอนแรกๆมันไม่ง่ายเลย เพราะพอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก
วิธีออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก 5 รอบ เดินออกกำลังสลับวิ่งเยาะให้หอบเหนื่อย 30 นาทีถ้าทำได้ติดต่อกันภายในเดือนเดียวหลังจากออกกำลังกาย ชีวิตจะเปลี่ยนไป พุงยุบ น้ำหนักลดลง

3.มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น

4.การเอาพิษออกจากร่างกาย
ใช้น้ำกาแฟสวนทวารหนัก ในกาแฟมีสารประกอบปาล์มมิเตตและคาเฟอีน จะทำให้หลอดเลือดของตับและท่อน้ำดีขยายตัวคลายกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพิ่มการไหลเวียนของน้ำดี และที่สำคัญจะไปกระตุ้นการสร้างเอนไซม์กลูต้าไธโอน เอสทรานเฟอร์เรส (GST) ในตับมากกว่าเดิมถึงร้อยละ 700 (7เท่า)  เอนไซม์ GST เป็นเอนเซม์ที่ช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระ ในขณะที่น้ำกาแฟถูกกักไว้ในลำไส้ใหญ่ประมาณ 12-15 นาที เลือดในร่างกายจะไหลผ่านตับ ทุกๆ 3 นาที เท่ากับว่าตับกำจัดของเสียได้4-5รอบ น้ำที่ใช้ละลายกาแฟ 1,000-1,200 มล จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวถ่ายง่าย

อีกสักหกเดือน ไปตรวจร่างกาย ทุกอย่างอาจกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก ซึ่งมันเหลือเชื่อจริงๆ กับการเปลี่ยนชีวิต ที่ทำให้เลิกยาวันละกำมือได้