วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

เหตุของการเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ

เหตุของโรคแห่งความเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ
1.ทำงานมากเกินไป และไม่ได้สนใจดูแลร่างกาย
2.นอนดึกใกล้เที่ยงคืน
3.กินของหวานตอนดึก
4.ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า วันละหนึ่งลิตรขึ้นไป  
4.ดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว เป็นกาแฟ ทรี-อิน-วัน มีส่วนผสม น้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ
อาการของความเสื่อม
          1.เริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย
          2.มีจิตใจหงุดหงิด รำคาญ เจ้าระเบียบมากขึ้น
         3.ความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา
         4.ไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา
         5.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 
         6.อ้วนลงพุง คือน้ำหนักเกิน เอวใหญ่

วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..มันไม่ได้ผล
“ถ้ากินยาตามหมอสั่งได้สักสองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม แล้วอาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาท จิตใจยิ่งแย่
ให้รู้ว่าถ้ามีความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ แล้วไม่ดีขึ้น วันข้างหน้าถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส ทำแล้วถ้าไม่ดีขึ้น ก็ตายได้ง่ายๆ”

งานวิจัย EUROASPIRE

ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตาม 12 ปี
คนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาสพ่านไป 12 ปี ไข้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

เรื่องความอ้วน ยิ่งรักษาก็ยิ่งอ้วน ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

คนไข้ที่มีความดันเลือดสูง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง

คนเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% สรุปผลคือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปอาการยิ่งแย่ลง

งานวิจัยของ น.พ Caldwell Esselstyn  
หมอทางด้านผ่าตัดต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน มาสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้
พบว่าคนไข้ที่กินแต่อาหารมังสะวิรัตนาน 5 ปี เมื่อทำการสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น รอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป หลอดเลือดเป็นปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ชี้ว่าการปรับอาหารการกินทำให้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบดีขึ้นได้

งานวิจัยของ น.พ  Dean Ornish เป็นหมอหัวใจ 
เป็นงานวิจัยที่เอาคนไข้โรคหัวใจแบ่งเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่งเป็น กลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ

กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ต้องปรับชีวิต สามอย่าง ได้แก่
(1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน
(2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง
(3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน

ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก
ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ
ในปีที่หนึ่ง กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ในปีที่ห้า ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า 
เป็นการวิจัยที่ยืนยันได้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นมันหายได้ด้วย
การกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก
ออกกำลังกาย
และจัดการความเครียด
สำหรับโรคความดันเลือดสูง มีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก ที่เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ที่สรุปได้ว่า
ถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิลลิเมตรปรอท
ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิลลิปรอท
ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิลลิปรอท
ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิลลิปรอท
ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

สำหรับเบาหวาน มีงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวาน  งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย  DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม
 กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด
กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวาน
กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน
แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้

กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด
กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา
ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

มีงานวิจัย มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน
เป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจว่า น้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด
ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ไขมันทรานส์ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแล้วหันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง  แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์ แล้วทำการโฆษณากันอย่างใหญ่โตว่าดีสำหรับสุขภาพเพราะไม่มี คลอเลสเตอรอล เพื่อนคู่มิตรกับกาแฟใช้แทนความมันจากนมวัว
การดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” เท่ากับใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกินเค้กเป็นมื้อดึกอีก เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด

ยังมีข้อสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันไตรกลีเชอไรด์ ทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้นอีก ที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน  35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ เช่นโค้ก

หมายเหตุ  processed vegetable oil หรือ “น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ” นี้เป็นคำพูดกำกวมสองแง่สองง่าม คือ
    
1 มันอาจหมายถึงกระบวนการทำไขมันทรานส์ ด้วยการเอาน้ำมันไม่อิ่มตัวเช่นน้ำมันถั่วเหลืองมาใส่ในหม้อต้ม ใสไฮโดรเจนเข้าไป (hydrogenation) ใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไป ต้มไว้หลายชั่วโมงข้ามวันข้ามคืน จนแขนที่ว่างงานอยู่ในโมเลกุลของมันผละออกจากกันจากเดิมที่เคยจับกันแบบ cis เปลี่ยนมาจับกันแบบ trans ทำให้ตัวน้ำมันกลายเป็นของแข็ง ผลผลิตที่ได้ก็คือไขมันทรานส์เช่น เนยเทียม ครีมเทียม ซึ่งเป็นไขมันก่อโรคมากที่สุด


    2 มันอาจหมายถึงกระบวนการทำน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร โดยการใช้สารทำละลายเช่นเฮกเซน (hexane) เข้าไปสกัดเอาน้ำมันออกมาจากเมล็ดพืชเช่นถั่วเหลืองป่น หรือรำข้าว พอได้น้ำมันออกมาแล้วก็ต้มให้เฮกเซนระเหยออกไปเหลือแต่น้ำมันพืช ผลสุดท้ายที่ได้คือน้ำมันพืชซึ่งเป็นของเหลว ถ้าใช้ถั่วเหลืองก็เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ก่อโรค สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย คนละเรื่องกับไขมันทรานส์เลย

    มีคนใช้คำว่า “น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ” ทำให้คนฟังเข้าใจไขว้เขวว่ามันเป็นน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหารทั่วไปเช่นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ขณะเดียวกันก็ไปเอาความชั่วร้ายของไขมันทรานส์มาบรรยายสรรพคุณ ทำให้คนฟังเข้าใจผิดว่าน้ำมันปรุงอาหารเช่นน้ำมันถั่วเหลืองมีคุณสมบัติชั่วร้ายอย่างไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นการก่อความเข้าใจที่ผิด ถึงขนาดบอกไปตามสังคมอินเตอร์เนทว่า บริษัทน้ำมันพืชจะเจ้งหมดแล้วเพราะปีหน้าอเมริกาจะห้ามใช้ไขมันทรานส์ 

ทางที่จะชนะโรคแห่งความเสื่อมนี้ต้องปรับชีวิตในสี่ประเด็น
1.อาหาร
2.ออกกำลังกาย
3.จัดการความเครียด
4.การเอาพิษออกจากร่างกาย

1.เรื่องอาหาร เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นน้ำเปล่าเลิกกินเค้ก  ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง
หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง ถ้าเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที (เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที) ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท คนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามิน ก็ใช้เครื่องนี้นี้ปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว
เช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยใส่กระติกน้ำร้อนจุหนึ่งลิตรไปดื่มทั้งวัน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานผักสลัด กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่อบเองทำอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวทานอาหารปกติ แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะ ชีวิตแบบนี้จะ สุขสบายกว่าเดิม

2.เรื่องการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายให้ได้ผลดี ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งตอนแรกๆมันไม่ง่ายเลย เพราะพอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก
วิธีออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก 5 รอบ เดินออกกำลังสลับวิ่งเยาะให้หอบเหนื่อย 30 นาทีถ้าทำได้ติดต่อกันภายในเดือนเดียวหลังจากออกกำลังกาย ชีวิตจะเปลี่ยนไป พุงยุบ น้ำหนักลดลง

3.มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น

4.การเอาพิษออกจากร่างกาย
ใช้น้ำกาแฟสวนทวารหนัก ในกาแฟมีสารประกอบปาล์มมิเตตและคาเฟอีน จะทำให้หลอดเลือดของตับและท่อน้ำดีขยายตัวคลายกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพิ่มการไหลเวียนของน้ำดี และที่สำคัญจะไปกระตุ้นการสร้างเอนไซม์กลูต้าไธโอน เอสทรานเฟอร์เรส (GST) ในตับมากกว่าเดิมถึงร้อยละ 700 (7เท่า)  เอนไซม์ GST เป็นเอนเซม์ที่ช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระ ในขณะที่น้ำกาแฟถูกกักไว้ในลำไส้ใหญ่ประมาณ 12-15 นาที เลือดในร่างกายจะไหลผ่านตับ ทุกๆ 3 นาที เท่ากับว่าตับกำจัดของเสียได้4-5รอบ น้ำที่ใช้ละลายกาแฟ 1,000-1,200 มล จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวถ่ายง่าย

อีกสักหกเดือน ไปตรวจร่างกาย ทุกอย่างอาจกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก ซึ่งมันเหลือเชื่อจริงๆ กับการเปลี่ยนชีวิต ที่ทำให้เลิกยาวันละกำมือได้

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เบาหวานโรคไร้เชื้อเรื้อรัง ที่ไม่เจ็บปวด

โรคเบาหวาน (Diabetes)

โรคเบาหวาน คือ ปัสสาวะหวานนั้นเอง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะหวานเพราะร่างกายเราไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้หมด น้ำตาลที่เหลือก็จะผสมอยู่ในกระแสเลือดและถูกไตขับทิ้งออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เป็นเหตุให้ปัสสาวะหวาน

สาเหตุที่ทำให้น้ำตาลเกินในกระแสเลือด

คนปกติ ตับอ่อนจะผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ อินซูลินออกมา ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่นำน้ำตาลออกไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ 60 ล้านๆ ทั่วร่างกายเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
คนเป็นเบาหวาน ถ้าอินซูลินเกิดบกพร่องจะทำให้อินซูลินนำน้ำตาลไปให้เซลล์ต่างๆได้น้อย จึงเหลือน้ำตาลในกระแสเลือดมากเกินไปเป็นสาเหตุให้ปัสสาวะออกมาหวาน

สาเหตุที่ทำให้อินซูลินไม่มีคุณภาพหรือมีปริมาณน้อย

ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาได้น้อยลง จึงทำให้มีอินซูลินน้อยกว่าปริมาณน้ำตาล น้ำตาลที่เหลือจะไปอยู่ในกระแสเลือดมากทำให้กลายเป็นเบาหวาน

ในคนอ้วน อินซูลินไม่สามารถพาน้ำตาลไปได้ เพราะเซลล์ไขมันในช่องท้องผลิตฮอร์โมนบางตัวออกมารบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้เกิดการดื้อต่ออินซูลิน อินซูลินทำงานได้ไม่เต็มที่

สตรีมีครรภ์ ในสตรีบางคนเวลาตั้งครรภ์จะผลิตฮอร์โมนบางตัวออกมารบกวนการทำงานของอินซูลิน

อินซูลินบกพร่อง ซึ่งพบน้อยมากเกิดจากการผิดปกติของยีนต์

กลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวาน

ทางพันธุกรรม มีญาติร่วมตระกูลเป็นเบาหวาน
คนอ้วน น้ำหนักเกิน จะพบว่าคนอ้วนเป็นเบาหวานถึง 85 เปอร์เซ็นต์
คนที่มีประวัติว่าตั้งครรภ์แล้วแท้งบ่อยๆ สาเหตุคือ แม่เป็นเบาหวานแล้วไม่ทราบทำให้แท้งได้

ผู้ที่เป็นแผลติดเชื้อบ่อย เช่น แผลที่มือ เท้า ปัสสาวะอักเสบ เป็นแผลหายยากหายช้าต้องรีบไปตรวจหาเบาหวาน

วิธีตรวจเบาหวาน

วิธีการตรวจหาค่าน้ำตาลในเลือดแบบคราวทำได้ง่าย ด้วยเครื่องตรวจเบาหวานโดยการเจอะเลือดบริเวณปลายนิ้วแค่หยดเดียวก็จะรู้ค่าของน้ำตาลในเลือดได้แล้ว สามารถทำเองได้ที่บ้าน

ค่าของน้ำตาลในเลือด

คนปกติ ก่อนทานอาหารต้องมีน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังอาหารต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

คนที่เป็นเบาหวาน ค่าของน้ำตาลในเลือดจะมากกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก่อนทานอาหาร และมากกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังจากทานอาหาร

คนที่อยู่ระหว่างกลาง ผู้ที่อยู่ระหว่าง 100-125 ก่อนทานอาหาร และ 140-199 หลังทานอาหารนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงอาจเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ต้องทำการตรวจไหม่ โดยการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำซึ่งจะก่อนทำการตรวจต้องอดอาหาร 6-8 ชั่วโมงในตอนกลางคืน แล้วมาเจอะเลือดในตอนเช้า หลังจากเจอะครั้งแรกจะต้องดื่มน้ำตาลกลูโคสทันที 1 แก้วให้หมดภายใน 5 นาที แล้วรออีก 2 ชั่วโมงจึงจะทำการเจอะเลือดอีกครั้งเพื่อดูความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังจากที่ร่างกายได้รับน้ำตาล ดูว่าฮอร์โมนอินซูลินจะยังมีคุณภาพสามารถพาน้ำตาลไปใช้ได้ดีขนาดใหน มีเหลือตกค้างหรือไม่

อาการของคนเป็นโรคเบาหวาน

1. เข้าห้องน้ำบ่อย

เข้าห้องน้ำบ่อยมากขึ้น รู้สึกเหมือนต้องการปัสสาวะทั้งวัน ซึ่งการถ่ายปัสสาวะจะบ่อยขึ้นหากมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงเกินไป หากไม่มีฮอร์โมนอินซูลิน หรือมีแต่ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ไตจะไม่สามารถกรองเอากลูโคสกลับเข้าไปในกระแสเลือดได้ จึงต้องพยายามดึงน้ำออกจากเลือดเพื่อเจือจางกลูโคส ทำให้กระเพาะปัสสาวะเต็มและทำให้คุณต้องไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

2. ความกระหายน้ำที่ไม่อาจบรรเทาได้

หากคุณรู้สึกหิวน้ำจนต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติ และรู้สึกว่าดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ไม่พอ อาจเป็นสัญญาณเตือนของเบาหวานได้ โดยเฉพาะหากมีอาการปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย เนื่องจากเมื่อร่างกายต้องขับน้ำออกจากกระแสเลือดเป็นปริมาณมากจนคุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อย คุณจะมีภาวะขาดน้ำ และรู้สึกว่าจำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป

3. น้ำหลักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ

อาการนี้จะเด่นชัดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ในเบาหวานชนิดที่ 1 ตับอ่อนจะหยุดผลิตอินซูลิน ซึ่งอาจเนื่องมาจากการที่มีเชื้อไวรัสไปทำลายเซลล์ตับอ่อน หรือเกิดจากการที่มีภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ทำให้ร่างกายโจมตีเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ร่างกายจะพยายามแสดงหาแหล่งพลังงานอื่นๆอย่างหนักเนื่องจากเซลล์ในร่างกายไม่ได้รับกลูโคส จนกระทั่งเริ่มสลายกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมันเพื่อนำมาเป็นพลังงาน 

ในขณะที่เบาหวานชนิดที่ 2 อาการจะเริ่มเป็นมากขึ้นทีละน้อยเนื่องจากภาวะร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำหนักลดอย่างไม่ชัดเจนมากนัก

4. อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า

สาเหตุเนื่องจากกลูโคสตัวดีอีกเช่นกัน ตามปกติกลูโคสที่ได้รับจากการกินอาหารจะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ซึ่งอินซูลินจะช่วยเคลื่อนย้ายกลูโคสเข้าไปในเซลล์ต่างๆของร่างกายอีกขั้นหนึ่ง เซลล์ก็จะนำกลูโคสนี้ไปผลิตพลังงานที่ใช้ในการดำรงชีวิต เมื่อไม่มีอินซูลิน หรือเซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอีกต่อไป กลูโคสก็จะคงอยู่ในกระแสเลือดนอกเซลล์ เซลล์ร่างกายก็จะขาดแคลนพลังงาน ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยง่ายและร่างกายทรุดโทรมลงเรื่อยๆเนื่องจากมีการ สลายโปรตีนไปใช้เป็นพลังงาน

5. มีอาการเหน็บชาหรือรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มบริเวณมือ ขา หรือเท้า

อาการนี้เรียกว่าเส้นประสาทอักเสบ ซึ่งจะเป็นมากขึ้นทีละน้อย เนื่องจากกลูโคสในกระแสเลือดที่สูงเกินไปตลอดเวลาจะทำให้ระบบประสาทเสียหาย รวมทั้งบริเวณแขนขาด้วย ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาการมักจะค่อยเป็นค่อยไป จนคนหลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองมีอาการนี้ ดังนั้นระดับน้ำตาลในเลือดอาจสูงมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัย ความเสียหายของเส้นประสาทจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่อาการเส้นประสาทอักเสบสามารถดีขึ้นได้ด้วยการควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายอย่างเคร่งครัด

6. อาการและสัญญาณเตือนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้

อาการตามัว ผิวหนังแห้งหรือคัน มีการติดเชื้อบ่อยขึ้น บาดแผลที่ใช้เวลานานผิดปกติกว่าจะหาย ก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

เมื่ออาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเบาหวาน ก็เป็นผลจากการที่มีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงเกินไป หากคุณสังเกตว่าตนเองมีอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ 

การดูแลและรักษาเบาหวาน

การวางแผนการบริโภคอาหารและตำหรับต่างๆในผู้ป่วยเบาหวาน การรักษาแบบธรรมชาติหรือตามหลักอายุรเวทที่จะช่วยให้ควบคุมโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สมุนไพรบางชนิดที่มีประโยชน์มากในการรักษาโรคเบาหวาน

มีสมุนไพรหลายชนิดที่พบว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด ข้อดีที่สุดของการใช้ยาสมุนไพรรักษาเบาหวานเหล่านี้คือมักไม่มีผลข้างเคียง ต่อไปนี้จะเป็นรายชื่อสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษาเบาหวานมากที่สุด มะระขี้นก ผักเชียงดา อบเชย  มะตูม  ลูกซัด ขมิ้นชัน หัวหอม แพงพวยฝรั่ง สะเดา กระเทียม 

ตำหรับอายุรเวทในการรักษาเบาหวาน

มะระขี้นก ถือว่าเป็นสมุนไพรที่ดีที่สุดสำหรับเบาหวาน ดื่มน้ำมะระขี้นกอย่างน้อย 1 ช้อนโต๊ะทุกวันจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและในปัสสาวะ 
นำน้ำมะขามป้อม 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมะระขี้นกสดหนึ่งถ้วย ดื่มทุกวันเป็นเวลา 2 เดือนจะช่วยให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้มากขึ้น 
ดื่มน้ำ 1 แก้วร่วมกับใบกะเพรา 10 ใบ ใบสะเดา 10 ใบ และกระเทียม 10 กลีบ ตอนเช้าขณะท้องว่าง จะช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

วางแผนการบริโภคอาหารและโภชนาบำบัด

เบาหวานเป็นโรคหนึ่งที่จะกำเริบรุนแรงหากกินอาหารผิดชนิด ดังนั้น การวางแผนการบริโภคอาหารเป็นวิธีหลักในการจัดการกับเบาหวาน หลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลในทุกรูปแบบ – ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง 
กล้วยหอม ผลไม้และธัญพืชที่มีปริมาณน้ำตาลสูง

กินอาหารจำพวกผักใบเขียว ถั่วเขียวผิวดำ ถั่วเหลือง ปลา ฯลฯ ให้มากที่สุด ควรกินผักบางชนิด เช่น มะระ ถั่วฝักยาว แตงกวา หัวหอมและกระเทียม ผลไม้ เช่น มะขามป้อม ลูกหว้า องุ่น 
ผักสดและสมุนไพรมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นตับอ่อนและช่วยในการผลิตอินซูลิน

การดูแลตัวเอง

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
ดูแลดวงตาให้มีสขภาพดี
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ดูแลเท้าเป็นพิเศษ
  
ทำไมคนเป็นเบาหวานบางทีต้องตัดขา?

โดยปกติเมื่อเป็นแผลและเกิดการติดเชื้อร่างกายนั้นจะมีเม็ดเลือดขาวคอยไปกำจัดแบคทีเรียที่เข้ามาในร่างกาย แต่เพราะเส้นเลือดที่ขาจะยาวกว่าเส้นเลือดที่แขน ทำให้โอกาสที่เส้นเลือดจะผิดปกติมีมากกว่า เมื่อเส้นเลือดตีบตันเลือดที่ไปเลี้ยงปลายขาก็จะน้อยลง ถ้าเกิดเป็นแผลแม้จะเป็นเพียงแผลเล็กๆแต่ถ้าเกิดการติดเชื้อจะทำให้แผลเน่าเร็วขึ้น เพราะเม็ดเลือดขาวไม่สามารถเข้าไปกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ จึงจำเป็นต้องตัดขาทิ้งเพื่อไม่ให้แผลเน่าลุกลาม

ความรู้เกี่ยวกับเบาหวาน

คนผอมก็เป็นเบาหวานได้ เพราะคนๆนั้นไม่มีอินซูลีน เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลีนออกมาได้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องตับอ่อน
เบาหวานทำให้ตาบอดได้ เบาหวานทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาเกิดผิดปกติ เส้นเลือดแตกแล้วไปกระจายอยู่ในจอตาทำให้การเห็นภาพผิดปกติ  

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ข้อสงสัยต่างๆของการทำ ดีทอกซ์

ข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับการทำ ดีทอกซ์

          ข้อสงสัยข้อที่ 1

 “การสวนทวารหนักด้วยน้ำเกลือ กาแฟ หวังล้างพิษออกจากร่างกาย จะมีอันตรายทำให้ลำไส้ระคายเคือง ระบม และระเบิดได้หรือไม่"

คำตอบข้อที่ 1
ไม่มีการใช้น้ำเกลือในการสวนด้วยกาแฟ การเอาพิษของเกลือมาขู่จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ส่วนการสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟกำหนดสำหรับคนที่สูงต่ำกว่า 160 ซ.ม. ให้ใช้น้ำละลายกาแฟ 1,000 ซีซี สูงกว่านี้กำหนดให้ใช้ไม่เกิน 1,200 ซีซี จึงไม่มีการระคายเคืองหรือทำให้ลำไส้ระเบิด

ข้อสงสัยข้อที่ 2
คนที่เป็นลำไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ โรคไต ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์
ไม่ควรสวนทวารหนักโดยพลการ การรับน้ำหรือเกลือมากเกินไปมีผลต่ออวัยวะผิวสัมผัสของลำไส้ใหญ่ทั้งนี้ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสวนน้ำเกลือหรือกาแฟเข้าไปร่างกายจะได้รับทั้งเกลือ กาเฟอีน ผ่านการดูดซึมของลำไส้ใหญ่บางคนที่ไวต่อเกลือและกาเฟอีนอาจเป็นอันตรายได้.”

คำตอบข้อที่ 2
คนที่มีลำไส้อุดตัน ต้องไปรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้นเพราะมีอาการปวดท้องอย่างมาก ไม่มีการผายลม ท้องจะอืดอย่างมากและถ้าเป็นนานจะมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง คนมีอาการเหล่าไม่สามารถทำการสวนฯทวารได้อยู่แล้ว
สำหรับคนที่เป็นโรคไตที่ยังไม่ต้องล้างไตถ้าบียูเอ็น (BUN) ครีเอตินิน (Cleatinine) ไม่สูงมากแพทย์ทางเลือกมักจะแนะนำ  ให้ทำการสวนทวารฯเอาพิษออกจากร่างกาย  เปลี่ยนการรับประทานอาหารโดยเลิกรับประทานของหวาน ของเค็ม ของมัน ฝึกการหายใจให้ดี  ช่วยร่างกายขับพิษด้วยการนวดต่อมน้ำเหลือง พบว่าหลายรายก็ยังมีโอกาสหายได้  สำหรับคนที่ไตเสียต้องฟอกไตเอาพิษออกหน้ายังดำ   เพราะมีการห้ามกินอาหารหลายชนิดจนขาดสารอาหาร
แพทย์ทางเลือกแนะนำให้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และทำการสวนทวารฯ ด้วยกาแฟวันละสองครั้ง   เอาพิษออกจากปอดโดยการฝึกการหายใจใหม่   นวดต่อมน้ำเหลือง เดินออกกำลังกาย   อบร่างกายให้เหงื่อออก  รับประทานสารอาหารที่ ร่างกายขาดไป   ให้บำรุงร่างกายโดยรับประทานวิตามินเกลือแร่เข้าช่วย   ผู้ป่วยจะมีสุขภาพดีขึ้น บางคนสามารถไปตีกอล์ฟได้
สำหรับคนที่ไวต่อคาเฟอีนมากๆมีข้อห้ามทำการสวนทวารด้วยกาแฟตามข้อห้ามที่ 3.

ข้อสงสัยข้อที่ 3
การกินอาหารที่กากใยสูง ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายมีระบบขับถ่ายของเสียได้เองอยู่แล้ว ทำไมยังทำการสวนทวารด้วยกาแฟอีก

คำตอบข้อที่ 3
การทำการสวนทวารด้วยกาแฟมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นตับให้ล้างสารพิษออกจากตับเป็นหลักใหญ่ การช่วยการขับถ่ายเป็นผลพลอยได้เท่านั้น การสวนทวารฯด้วยน้ำกาแฟ เมื่อน้ำกาแฟเข้าไปในทวารหนักแล้วควรจะอั้นไว้ให้ได้ประมาณ  12 นาที เพื่อให้ลำไส้ดูดซึมคาเฟอีนและสารอื่นๆในน้ำกาแฟไปกระตุ้นตับให้ขับพิษออกมา และน้ำที่ใช้ละลายกาแฟ 800-1300 ซีซีจะเป็นผลให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวให้กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ออกมาเป็นการล้างลำไส้ให้สะอาดอีกด้วย

ข้อสงสัยข้อที่ 4
ต้องดูว่ามีความจำเป็นต้องสวนทวารหนักหรือไม่ ข้อห้ามเป็นอย่างไร
คนที่สวนต้องมีความรู้ความชำนาญ ไม่ใช่ใครก็สวนได้ เพราะลำไส้เหมือนลูกโป่ง หากเป่าลมเข้าไปมากลูกโป่งก็แตกได้ เนื่องจากน้ำมีแรงดัน หากน้ำที่ไหลเข้ามีแรงดันสูงก็เป็นอันตรายได้
เคยมีผู้สวนทวารหนักด้วยกาแฟแต่น้ำร้อนเกินไปทำให้ลำไส้พองอักเสบ      จนต้องเข้ารับการรักษา
ผู้สวนต้องรู้ว่าใช้ความดันเท่าใด อุณหภูมิเหมาะสม และเอาน้ำอะไรมาสวน
หมออาจใช้น้ำสบู่กรณีท้องผูก ทุกคนใช้น้ำไม่เท่ากัน พวกที่เป็นลำไส้อุดตันต้องดูปริมาณน้ำด้วย ว่าน้ำใส่เข้าไปเท่าใดแล้วน้ำจะออกมาเท่าใด”   
ต้องพิจารณาความถี่ในการสวนทวารหนักด้วย เช่น  เด็กอ่อนหากสวนทวารหนักบ่อย ๆ ลำไส้เด็กจะไม่ทำงาน ไม่บีบตัว เด็กจะไม่ถ่ายอุจจาระเอง

คำตอบข้อที่ 4
          การสวนทวารหนักด้วยกาแฟมีที่ควรพิจารณาด้วยตัวผู้ที่จะสวนเอง เช่นมีอาการตัวร้อน มีอาการทางจิต  ประสาท ปวดท้อง ท้องอืด หอบ หายใจติดขัด ที่ทางอายุรเวชถือว่าเป็นอาการของวาตะพิการ
          พระราชบัญญัติการประกอบโรคศีลปะ พ.ศ. 2542 มาตรา 30(1) กล่าวว่าบุคคลทั่วไปทุกคน มีสิทธิที่จะเยียวยา
ตนเอง หรือรักษาพยาบาลตนเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการกระทำนั้นด้วยตนเอง” 
การที่บุคคลใดจะทำการสวนทวารด้วยกาแฟจึงควรศึกษาให้ดี   เช่นต้องระวังเรื่องแรงดันน้ำ   และไม่ให้น้ำร้อนจัดเกิน
ไป   แขวนถุงสวนไม่ให้สูงเกิน   1 เมตร (ตามคำแนะนำความดันน้ำต่ำมาก)และเอานิ้วก้อยจุ่มลงในน้ำกาแฟที่จะ ทำการ
สวนทวารฯนับหนึ่งยี่สิบถ้าอุ่นพอดีจึงใช้สวนทวารฯได้
          การสวนด้วยกาแฟมีข้อห้ามสวนเด็กในวัยเจริญเติบโตอยู่แล้ว(ตามข้อห้าม 1) จึงไม่มีการสวนทวารในเด็กเล็ก
ขอเน้นว่าอย่าประมาท โดยเฉพาะการเอาน้ำร้อนจัดเข้าไปลวกลำไส้เป็นอันตรายจริงๆ ต้องเอานิ้วก้อยจุ่มลงในน้ำกาแฟ
ที่จะ ทำการสวนทวารฯนับหนึ่งยี่สิบทุกครั้ง ถ้าอุ่นพอดีจึงใช้สวนทวารฯได้
          หมออาจใช้น้ำสบู่กรณีท้องผูกข้อนี้เป็นการประกอบโรคศีลปะของเวชกรรมแผนปัจจุบัน ทางแพทย์ทางเลือกไม่มี
ที่ใช้

ข้อสงสัยข้อที่ 5
การทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องสวนทวารหนักล้างพิษ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงผัก ผลไม้ ทำหน้าที่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายปกติ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย     ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ขอให้ดูแลอาหารการกินให้ดี ระวังอาหารไขมันสูง หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาด ผู้ที่ออกกำลังกายประจำระบบการขับถ่ายจะทำงานปกติ ไม่ท้องผูก

คำตอบข้อที่ 5
เห็นด้วยกับข้อแนะนำนี้เป็นอย่างมากเพราะเพียงแต่  ทำให้ประชาชนรับประทานอาหารตามที่บอก ออกกำลังกายตามที่ท่านว่า    ดื่มน้ำสะอาดตามที่สอน   ประชาชนนอกจากไม่ต้องทำการสวนทวารตามที่เตือน   ประชาชนยังจะมีสุขภาพที่ดีเยี่ยม ไม่เป็นโรคแห่งความเสื่อม    ไม่เป็นโรคมะเร็ง   ไม่เป็นโรคไต   ไม่เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง  ว่าแต่คิดออกหรือยังว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนทำได้อย่างนี้จริง ๆ  พวกเราชาวสวนล้างทวารฯด้วยกาแฟก็ได้แต่อาศัยพลังอันน้อยนิดของเราคอยบอกกล่าวให้ผู้คนทั่วไปเฝ้าระวังไม่ประมาทต่อคำเตือนของร่างกาย  เมื่อมีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ท้องอืดหลังดื่มสุรา  นอนดึก  ว่าภูมิต้านทานของร่างกายได้ลดลงแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ร่างกายก็จะเปลี่ยนให้  เช่น ให้เป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง  เป็นมะเร็ง  หรือมีไขมันในเลือดสูง  เป็นโรคหัวใจ หอบเหนื่อย ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่จะไปเที่ยวกลางคืนเลยแม้จะคลานขึ้นเตียงก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือดี  อาจได้นั่งกินนอนกินอย่างคนโบราณว่าเพราะแขนขาตายเป็นอัมพาต ถ้าเปลี่ยนนิสัยไม่ได้ช่วยร่างกายขจัดสารพิษแต่ยังเอาสารพิษเพิ่มเข้าไปอีก
ข้อเน้นว่าการสวนทวารฯด้วยกาแฟมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นตับให้ล้างสารพิษออกจากตับเป็นหลักใหญ่

ข้อสงสัยข้อที่ 6
การทำดีท็อกซ์แล้วจะมีคราบกาแฟไปจับที่ลำไส้ใหญ่เหมือนคราบกาแฟที่จับตามฟัน

คำตอบข้อที่ 6
 ถ้าคิดถึงเหตุผลจะเห็นว่าริมฝีปากหรือกระพุ้งแก้มไม่มีคราบกาแฟติดอยู่เลยเพราะทั้งริมฝีปากและกระพุ้งแก้มร่างกายสร้างน้ำเมือกน้ำลายมาหล่อเลี้ยงให้เปียกชื้นตลอดเวลาคราบกาแฟจึงไม่ติดริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม ในลำไส้ใหญ่ก็มีกระบวนการคล้ายๆกันคราบกาแฟจึงไม่มีโอกาสไปจับติดผนังลำไส้ใหญ่

นอกจากนี้ลำไส้ใหญ่ยังมีแบคทีเรียนับ 1,000 ล้านตัวฉาบอยู่ภายในลำไส้หนาถึง 2 ซม.ยาวตลอดลำไส้ใหญ่ที่ยาวประมาณ 4.5-5.0ฟุต  ไม่มีทางที่คราบกาแฟจะจับติดผนังลำไส้ใหญ่

ข้องสงสัยที่7 การสวนทวารฯทำให้ลำไส้บางลง
คำตอบข้อที่ 7
 การที่กากอาหารที่แข็งครูดผ่านลำไส้ใหญ่ทุกวันไม่พบว่าทำให้ลำไส้บาง แต่กากอาหารที่มีน้ำละลายจนไม่ไม่มีกากแข็งเลยกลับหาว่าจะไปทำให้ลำไส้บางไม่เป็นสาระจริงๆ  

ปัญหาเกี่ยวกับการล้างพิษในลำไส้ใหญ่

การมีที่พิษค้างอยู่ในตับเกิดขึ้นเพราะเหตุใด?
เกิดขึ้นในกรณีที่เอนไซม์กลูตาไธโอนในร่างกายมีไม่ ทำให้ตับไม่สามารถขับสารพิษที่ละลายน้ำออกไปได้   ทำให้สารเหล่านี้มีพิษมากขึ้นกว่าเดิม  บางตัวอยู่ในสภาพสารอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ร้ายแรง   บางตัวอาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วย เพื่อป้องไม่ให้ตับและเซลล์อื่น ๆ เสียหายไปมากกว่านี้ ร่างกายจะเปลี่ยนสารเหล่านี้ไปเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลอรัลไฮเดรต  (Chloral hydrate) ซึ่งออกฤทธิ์เป็นยานอนหลับ  เมื่อร่างกายผลิตสารนี้ออกมาก็จะทำให้คนที่ทำการสวนทวารด้วยกาแฟมีอาการง่วง  ซึม  ปวดเมื่อยตามตัว      ขี้เกียจ และรู้สึกไม่มีแรง
การแก้ไขผลจากการตกค้างของสารพิษ เราต้องเพิ่มสารที่ไปช่วยเสริมสร้างเอนไซม์กลูตาไธโอน โดยรับประทานขมิ้นชันขององค์การเภสัชกรรม 2 แคปซูล  ก่อนการสวนทวารด้วยกาแฟสักครึ่งชั่วโมง  และถ้าหาได้อาจใช้เพิ่มน้ำยาที่ได้จากสมอไทย สมอพิเภก สมอเทศ และมะขามป้อม (แพทย์แผนไทยเรียกจตุผลาธิกะ) สัก 2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

การสวนทวารหนักจะใช้วาสลินทาสายสวนฯได้หรือไม่?
ปัจจุบันไม่นิยมใช้วาสลินเพราะเป็นเจลที่ได้จากปิโตรเลียม (Petroleum Jelly) เพราะถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้รูทวารอักเสบ และไม่ควรใช้สบู่ที่เป็นด่างซึ่งจะระคายรูทวารหนัก
เจลที่ใช้ควรพิจารณาใช้เจลชนิดเดียวกับที่โรงพยาบาลใช้กับสายยางที่ใช้สอดใส่ในช่องของร่างกาย

คนตัดไส้ติ่งทำการสวนทวารฯ ด้วยกาแฟได้หรือไม่?
ธรรมดาการผ่าไส้ติ่งแพทย์ไม่ได้ไปทำอะไรกับลิ้นที่ปิด-เปิดระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่จึงทำการสวนทวารฯได้ อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยในการสวนทวารฯ ห้าครั้งแรกควรใช้กาแฟแต่น้อยสักหนึ่งช้อนกาแฟก่อน ถ้าไม่มีอาการใจสั่นหรือนอนไม่หลับจึงค่อยใช้กาแฟหนึ่งช้อนโต๊ะและน้ำกาแฟไม่ควรเกิน 1,000 ซี.ซี. ในการสวนทวารฯ
คนเป็นโรคหัวใจ  และโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ แล้วถ้าจะทำการสวนทวารด้วยกาแฟควรเริ่มที่การใช้ทำการสวนทวารฯแบบเดียวกับคนที่ผ่าตัดไส้ติ่ง
จำเป็นต้องใส่วิตามินบี คอมเพล็ก และสกัดตับ น้ำกาแฟที่ทำการสวนทวาร ฯ  หรือไม่

ควรใส่เพราะวิตามินบีคอมเพล็ก บวกวิตามินบี 12 จะช่วยแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ให้แข็งแรง  ช่วยบำรุงตับและป้องกันโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 

การสวนทวารฯบ่อยๆจะทำให้แบคทีเรียดีตายไปหรือไม่?
ไม่ เพราะลำไส้ยิ่งสะอาดแบคทีเรียดียิ่งมีมาก  แต่ถ้าลำไส้สกปรกแบคทีเรียร้ายที่มีพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งจะมีมากขึ้น
ทำการสวนทวารฯแล้วควรดื่มน้ำผลไม้หรือไม่?

ถ้ามีสุขภาพดีไม่ต้องดื่มก็ได้ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีการ
ทำการสวนทวารฯถ่ายออกมาเป็นน้ำอาจเสีย
พวกอิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte) บ้างอาจจะทำ
ให้เพลีย
 การดื่มน้ำมะนาวใส่เกลือจะทำให้หายเพลียได้

ทำไมเมื่อทำการสวนทวารฯ แล้วรับประทานอาหารอีก
ประมาณสอง ชั่วโมงก็อาเจียนจนหมดแรง?
เพราะเวลารับประทานอาหารเข้าไปอาหารจะอยู่ใน กระเพาะอาหารประมาณ 3 ถึง 6 ชั่วโมง การทำการสวนฯด้วยกาแฟ กาแฟไปกระตุ้นตับให้สร้างน้ำดี บางคนถ้าน้ำดีออกมามากเกินไปจนล้นเข้าไปในกระเพาะ ทำให้คลื่นไส้ อาเจียร ขมปาก เพราะน้ำดีมีรสขมอยู่แล้วแต่ไม่มีโทษอะไร เพราะน้ำดีออกมาเพื่อเตรียมย่อยอาหาร อย่างไรก็ตามถ้ามีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ ควรลดจำนวนกาแฟลงและไม่ควรอั้นไว้นานเกิน 12 นาที

การสวนทวารฯ ด้วยกาแฟทำทุกวันได้หรือไม่?
ได้ตามคำแนะนำของ น.Nicholas J. Gonzalez: Dr. Nicholas J. Gonzales: Graduated from Cornell University Medical College in New York.  Fellowship in immunology.
“Coffee enemas were frequently recommended because patients, whatever their underlying problem, tended to feel better after a coffee enema.  I have followed thousands of patients over the years who have done coffee enemas in some cases for decades: virtually all patients report an increase sense of well being.  I have done them myself daily since first learning about them in 1981.

นายแพทย์กอนซาเลส จบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญด้าน ภูมิต้านทาน
.. กอนซาเลส ได้กล่าวว่าคนไข้ของท่านสบายขึ้นหลังจากการสวนทวารฯ จากการติดตามผลนับพันรายในรอบสิบปีทุกรายบอกรู้สึกดีมาก ตัว น..กอนซาเลสเองได้ทำสวนทวารฯ ทุกวันมาตั้งแต่ปี ค.. 1981 (.. 2524)
จากหนังสือเพรสคริบชั่น ฟอร์นิวทริชั่นนอล ฮีลลิง ของน.. เจม เอฟ บาลซ์ พิมพ์ครั้งที่ 3 แนะนำข้อควรระวังในการสวนทวารหนักด้วยน้ำกาแฟว่า ถ้าไม่ได้เป็นมะเร็งหรือมีเหตุที่จำเป็นจริง ๆ ควรทำวันละครั้งและถ้าทำติดต่อกันทุกวันเกิน 6 เดือน ให้ระวังการขาดธาตุเหล็ก เกลือแร่ วิตามิน ที่อาจทำให้โลหิตจาง ดังนั้นจึงควรใส่วิตามินบีคอมเพ็ลกซ์และวิตามินบี 12 ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการขาดวิตามินและบำรุงตับ เพิ่มพลังให้ตับ

สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง การใช้กาแฟสวนนั้นจะช่วยขยายท่อน้ำดีและช่วยให้ตับขับพิษมะเร็งออกมา นอกจากนั้นยังช่วยทำความสะอาดโลหิตโดยขับพิษออกจากลำไส้ได้
คนที่เป็นมะเร็งที่ต้องสวนทวารด้วยน้ำกาแฟถึงวันละ 4 ครั้ง ควรใส่ควรวิตามิน 7 รีทอก พลัส 1ซอง ลงไปในน้ำกาแฟที่ใช้สวนทุกครั้ง จะช่วยซ่อมแซมตับให้แข็งแรง และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น



ข้อมูลใหม่ของการล้างพิษด้วยกาแฟที่ซึมผ่านลำไส้ใหญ่

การล้างสารพิษด้วยวิธีสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำกาแฟ


1.เหตุใดจึงต้องเสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการล้างสารพิษด้วยกาแฟ
          เพราะขณะที่เขียนนี้(ตุลาคม  2549)การสวนล้างลำไส้ใหญ่มีกระแสนิยมเพิ่มมากขึ้น ผู้สนใจมักจะหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำดีท็อกซ์ที่ตีพิมพ์มานานอย่างน้อยสองปีขึ้นไปหรือที่พิมพ์ใหม่ก็ไม่ได้แก้ไขเพิ่มเติมความรู้แต่อย่างใด
จึงจำเป็นต้องเรียนให้ท่านสมาชิกชมรมคนรักสุขภาพ 7 ก้าว.อ เพื่อปรับวิธีการทำการสวนทวารล้างพิษด้วยกาแฟให้ทันสมัยและปลอดภัยยิ่งขึ้น ถ้าพบว่ามีข้อแตกต่างจากที่ทำอยู่ก็รีบปรับทำตามที่แนะนำใหม่นี้จะพบว่าได้ผลดีกว่าเก่ามาก

2.หลังจากสวนน้ำกาแฟเข้าไปในลำไส้ใหญ่แล้วให้นอนตะแคงขวาและคู้เข่าควรอั้นไว้นานเท่าไหร่
ในปัจจุบันสถาบันที่สอนการทำดีท็อกซ์ในสหรัฐอเมริกากำหนดให้อั้นไว้ 12 นาที เพราะสถิติจากผู้ที่ทำดีท็อกซ์กว่า10,000 คนพบว่าถ้าอันนานกว่า 15 นาที จะมีกาแฟจำนวนหนึ่งถูกดูดซึมผ่านตับไปยังกระแสโลหิตมีผลให้พวกที่ไวต่อฤทธิ์ของกาแฟมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะ บ่อย และที่สำคัญบางคนมีอาการติดกาแฟ ถ้าอั้นไว้แค่ 12 นาทีจะไม่มีอาการนอนไม่หลับหรือใจสั่นแต่อย่างไร

3.กาแฟที่ใช้สวนลำไส้ใหญ่ควรใช้กาแฟอย่างไหนและจำนวนเท่าไหร่
          เพื่อความสะดวกควรใช้กาแฟผงชนิดชงละลายจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ว่าซื่อสัตย์มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่ผสม นม เนย น้ำตาลโมลาส หรือของแปลกปลอมอื่นๆเพื่อเพิ่มปริมาณกาแฟซึ่ง หจก.7 ก้าว ได้หากาแฟที่เชื่อถือได้ ขึ้นทะเบียนอาหารและยา (อย.10-1-27648-1-0001)มาจำหน่าย และผู้ใช้สามารถขอดูผลการวิเคราะห์ของกาแฟในแต่ละรุ่นการผลิต
          จำนวนผงกาแฟที่ใช้ห้ามเกิน 1 ช้อนโต๊ะปาดหรือ 3 ช้อนชาปาด (ห้ามใช้ช้อนพูน เพราะจะกลายเป็น 2 ช้อน) และที่ห้ามใช้กาแฟเกินจากที่กำหนด เพราะกาแฟที่มีมากเกินไปจะถูกดูดซึมผ่านตับไปยังกระแสโลหิตมีผลให้พวกที่ไวต่อฤทธิ์ของกาแฟมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะ บ่อย และที่สำคัญบางคนมีอาการติดกาแฟ

4.มีผู้ทำดีท็อกซ์แล้วมีอาการร้อนในปากเปื่อยเพราะอะไร
          เป็นเพราะขาดวิตามิน บี 12 บางคนยังมีอาการซีดเพราะโลหิตจางด้วย ดร.บาล์สแนะนำให้ผสมวิตามิน บีคอมแพลกและวิตามินบี12  ลงไปในน้ำกาแฟก่อนสวนทวารหนักเพื่อป้องกันการขาดวิตามินและเสริมตับให้แข็งแรงมากขึ้น
อนึ่งสกัดตับมีวิตามิน บี  12 เพียง 10 ไมโครกรัมหรือ0.01 มก เท่านั้น บางคนใช้วิตามิน บี 12 ที่ผลิตมาเพื่อรักษาโรคโลหิตจาง ที่มีวิตามินถึง 1,000 มก.   ซึ่งมากไปไม่เหมาะสำหรับผสมในน้ำกาแฟดีท็อกซ์

5.มีผู้ทำดีท็อกซ์แล้วมีอาการข้อติด เข่าติด เพราะอะไร
          เพราะการใช้วิตามิน บี คอมแพลก ที่มี ตัวยา ไนอาซิดนาไมด์ ถึง 100 มก.ผสมลงไปในน้ำกาแฟ
ดีท็อกซ์”  บางคนที่ไวต่อไนอาซิดนาไมด์ ร่างกายจะผลิตยูลิคมากขึ้นทำให้มีอาการข้อติด เข่าติด ถ้าใครมีอาการอย่างนี้ให้เปลี่ยนใช้วิตามิน7 รีทอก พลัสใส่ได้ทุกวันตามปกติ

6.ทำไมจึงควรทำดีท็อกซ์ทุกวัน


การขับถ่ายทุกวันวันละครั้งจะมีกากอาหารค้างอยู่อย่างน้อย 4 มื้ออาหารและถ้าอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์กากอาหารจะกลายเป็นสารพิษตามภาพจะเห็นว่าในตอนเที่ยงวันศุกร์อาหารที่รับประทานเมื่อวันพฤหัสบดียังอยู่ในลำไส้ใหญ่ถ้าได้ถ่ายตอนเช้าก็จะมีกากอาหารของวันพฤหัสบดี ค้างอยู่ 2 มื้อรวมกับวันศุกร์อีก3มื้อจะมีกากอาหารในลำไส้ใหญ่ถึง 5 มื้อ
การขับถ่ายทุก 3 วันจะมีกากอาหารค้างอยู่อย่างน้อย 11 มื้ออาหารและถ้าอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์กากอาหารจะกลายเป็นสารพิษ
          ตามหลักของแพทย์องค์รวมกากอาหารไม่ควรติดค้างในลำไส้นานเกิน 48 ชั่วโมงจึงควรทำ   ”ดีท็อกซ์ทุกวัน หรือถ้าไม่มีเวลาจริงๆควรทำดีท็อกซ์อย่างน้อยอาทิตย์ละสองวันติดต่อกัน (ทำวันเว้นวันผลได้ไม่ดีเท่ากับทำติดต่อกัน)

7.ทำดีท็อกซ์แล้วเกิดสิวเม็ดใหญ่ๆขึ้นบริเวณใบหน้า ต้นคอ หรือแผ่นหลังเพราะอะไร
เป็นเพราะมีสารพิษสะสมอยู่ในเซลล์ไขมันเป็นจำนวนมาก เมื่อตับเอาคลอเรสเตอรอล จากเซลล์ไขมันไปผลิตกรดน้ำดี(Bile Acid) เพื่อใช้ขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้จำนวนไขมันลดลง  สารพิษที่ละลายอยู่ในน้ำมันบางส่วนจึงถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสโลหิตและขับออกทางผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเป็นหน้า คอ แผ่นหลัง ในกรณีนี้นับว่าเป็นโชคดีที่ทำดีท็อกซ์แล้วเป็นสิวเพราะทำให้รู้ว่าในขณะนี้มีสารพิษสะสมอยู่มากมายถ้าไม่รีบขจัดออก สตรีบางคนตรวจพบว่ามีซีส มีช็อกโกเลตชีสในมดลูก หรือมะเร็ง ในกรณีนี้จึงควรทำดีท็อกซ์เพื่อล้างพิษทุกวัน เมื่อพิษหมด สิวเหล่านี้จะหมดไป

8.หลังจากอั้นครบ 12 นาทีแล้วปรากฏว่าถ่ายไม่ออกซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของลำไส้ จะทำอย่างไร
วิธีแก้ไข
          1ใจเย็นไม่ต้องตกใจ
          2นอนตะแคงขวางอเข่าข้างหนึ่งเหมือนนอนก่ายหมอนข้างเอากระเป๋าน้ำร้อนวางไว้ที่ท้อง
          3 อีก 10ถึง15 นาทีถ้ายังไม่ถ่ายให้ทำ ดีท็อกซ์อีกครั้งหนึ่งด้วยปริมาณน้ำกาแฟ 800 ซีซี ตามปกติจะถ่ายออกมาตั้งแต่นอนประคบน้ำร้อนแล้ว แต่ถ้าไม่ถ่ายก็ไม่ต้องกังวลเพราะน้ำกาแฟทั้งหมดจะถูกดูดซึมผ่านลำไส้ใหญ่และขับออกมาทางปัสสาวะ และให้รับประทานน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะเพื่อถ่ายกากอาหารที่ค้างอยู่ออกมา
สรุปประโยชน์ของการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ

1.การที่สารละลายกาแฟไปกระตุ้นต่อท่อน้ำดี ทำให้ปากถุงน้ำดีเปิดออก มีแรงบีบถุงน้ำดีเพิ่มขึ้น ทำให้มีการถ่ายเทของ
 1)เกลือน้ำดี(ไบล์ ซอลท์ Bile Salt) หมักหมมเข้มข้นออกไป เป็นการป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากการตกผลึกของเกลือน้ำดี
 2)สารพิษที่ตับเก็บไว้จากการกรองเลือดทั้งร่างกาย  ถือว่าเป็นการล้างสารพิษออกไปจากตับและถุงน้ำดี ทำให้โกดังเก็บสารพิษตับว่างลงมีที่เก็บสารพิษที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น

2.เลือดที่ผ่านตับทุก 3 นาที จะพาสารพิษทั้งโลหะและอโลหะเช่นสารที่ได้จากการสันดาปโปรตีนพวกไนโตรเจน กรดอะมิโนรวมทั้งกลุ่มอนุมูลอิสระที่อาจอุดตันหลอดเลือด ทั้งนี้ตับจะเก็บไว้ในโกดังเก็บสารพิษ””ที่มีที่ว่างมากพอจากข้อหนึ่ง ทำให้ไม่มีสารพิษต่างๆที่จะล้นจากตับที่ไปอยู่ทั้งในเชลลูไลท์และในเนื้อเยื่อ ไขมันที่เคยใช้ห่อหุ้มสารพิษเหล่านี้จะเผาผลาญหรือสันดาปได้ง่าย

3.เลือดที่กรองสะอาดบริสุทธิ์ไม่มี อนุมูลอิสระมีผลต่อการลดหรืออาจลบลอยตกกระ ไฝ ฝ้า ของผิวหนัง ทำให้หน้าใสขึ้น เอ็นไซม์กลูตาไธโอนที่ตับผลิตเพิ่มขึ้นถึง 650% จะทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุของโรคแห่งความเสื่อม การแก่ก่อนวัย รวมทั้งมะเร็ง

4.เซลล์ตับสร้างกรดน้ำดีจากคอเลสเตอรอล ดังนั้นการเปิดท่อถุงน้ำดีเทกรดน้ำดีทิ้งไปทุกครั้งที่สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟก็คือการลดคอเลสเตอร์รอลลง  ตับจะสร้างน้ำดีขึ้นมาทดแทนน้ำดีที่ถูกขับออกไปจากเนื้อเยื่อไขมันที่สร้างมาจากคอเลสเตอร์รอลที่เรียกว่า ไลปิด(Lipid) ที่อยู่ตามพุง ทำให้คนทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟมีเอวเล็กลงแต่น้ำหนักไม่ลดลงแต่อย่างใด

5.ขจัดตะกรันกากอาหารและสารพิษที่จับติดอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่ให้หลุดออก และป้องกันไม่ให้มีกากอาหารของโปรตีนตกค้างในลำไส้ใหญ่นานเกินไปอันเป็นเหตุให้ แบคทีเรียตัวร้ายเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นแอมโมเนีย อินดอล สแกตอล กาซไข่เน่า มีเทน เอธิโอนีน คาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ ที่ทำให้อุจจาระ ปากและตัว มีกลิ่นเหม็นมาก และที่สำคัญบางตัวยังมีพิษต่อไต บางตัวก่อให้เกิดภูมิแพ้ บางตัวทำให้เกิดมะเร็ง 

6.ช่วยขจัดสารพิษที่เกิดจากเน่าสลายของเนื้อเยื่อในแกนกลางของมะเร็งที่ตายไป ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ เบื่ออาหาร ผอมแห้งลง ทำให้คนไข้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ฟื้นตัวได้เร็ว

7.ช่วยลดไข้ ลดอาการปวดเมื่อย อาการปวดท้อง เคลื่อนไส้ อาเจียน ในคนที่เป็นมะเร็งโดยไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด




ปัญหาดีทอก