วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดมี 5 ประการ

สาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดมี 5 ประการ
1. มลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะหมอกฝุ่นควันที่มีค่า PM2.5 สูงกว่ามาตรฐาน

2. ควันบุหรี่ ไม่ว่าการสูบเอง หรือรับควันบุหรี่มือสอง มือสาม ล้วนจะได้รับสารพิษที่อาจทำให้เกิดมะเร็งกว่า 60 ชนิดเข้าสู่ร่างกาย
ผลการวิจัยปรากฏว่า ผู้เป็นมะเร็งปอด 85% มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่

3. ควันน้ำมันจากการผัดกับข้าวในห้องครัว ถ้าไม่มีการถ่ายเทอากาศในห้องครัว ควันน้ำมันที่เกิดจากการทอด ปิ้ง ย่าง และผัดจะทำลายระบบทางเดินหายใจของแม่ครัวพ่อครัว

4. การตกแต่งบ้าน การใช้หินอ่อน (Marble) ธรรมชาติปูพื้น ทำโต๊ะปรุงอาหาร หินอ่อนธรรมชาติมีสารเรดอน(Radon) ซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป็นสารก่อมะเร็ง และเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ฟอร์มาลดีไฮด์ และเบนซิน(Benzene) ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้

5. ความเครียดของจิตใจ การโกรธแค้น โมโห เป็นบุคลิกของคนเป็น
มะเร็ง เมื่อมีปัญหาในการใช้ชีวิตครอบครัว หรือมีแรงกดดันด้านการทำงาน แก้ไขไม่ได้ ไม่สามารถระบายอารมณ์ไม่ดีออกไปจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน
ความจริง ทุกคนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมะเร็ง เพราะว่าในร่างกายคน มีเซลล์มะเร็งอยู่ตลอดชีวิต เมื่อถูกแรงกดดันหรือปัจจัยภายนอกกระตุ้น เซลล์มะเร็งก็อาจจะตื่นขึ้นหรือฟื้นตัว

วิธีการป้องกันมะเร็งที่ง่ายๆ และราคาถูกที่สุด 10ประการ

วิธีการป้องกันมะเร็งที่ง่ายๆ และราคาถูกที่สุด 10ประการ

1. รับประทานน้ำตาลให้น้อย
อาหารที่เซลล์มะเร็งชอบที่สุดคือน้ำตาล หนังสือเรื่อง "ป้องกันมะเร็งอย่างไร" ของญี่ปุ่นชี้ว่า ขณะที่เลือดไหลผ่านเซลล์เนื้องอก น้ำตาลในเลือดประมาณ 57% จะถูกเซลล์มะเร็งใช้ไปเป็นสารอาหาร
นิตยสารโภชนาการของสหรัฐอเมริการะบุว่า การดื่มน้ำหวาน 2 แก้ว จะทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อนสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 90%  ดังนั้นใน แต่ละวันไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 50 กรัม

2. เปิดหน้าต่างวันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
มลพิษที่เกิดจากการตกแต่งบ้านนอกจากมีฟอร์มาลดีไฮด์แล้ว ยังมีสารเรดอน ที่แฝงอยู่ในปูนซีเมนต์และกระเบื้องเคลือบ  ถ้าคนเราหายใจรับสารนี้เข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานาน จะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งปอด ถ้าสามารถเปิดหน้าต่างวันละสักครึ่งชั่วโมงได้ ถ่ายเทอากาศภายในห้อง ความเข้มข้นของฟอร์มาลดีไฮด์ก็จะลดลงถึงระดับเท่ากับภายนอก นอกจากนี้ การเผาไหม้ก็จะเกิดฟอร์มาลดีไฮด์ด้วย ดังนั้น เวลาต้มน้ำในห้องครัว ควรเปิดหน้าต่าง และปิดประตูที่เชื่อมกับห้องนอน

3. รับประทานต้นหอมและกระเทียมทุกวันในจีน มณฑลที่มีอัตราการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำที่สุดคือซานตง ซึ่งเป็นมณฑลที่ผลิตต้นหอมและกระเทียมมาก เช่น ในอำเภอชางซาน มณฑลซานตง เฉลี่ยแล้วแต่ละคนรับประทานกระเทียม 6 กิโลกรัมต่อปี ผู้ที่ชอบรับประทานกระเทียมจะลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร 60%
กระเทียมต้องสด สับและวางไว้ในอากาศที่มีอากาศถ่ายเท จึงจะเกิดสารป้องกันมะเร็งได้ ถ้า ผัด ทอด ต้มร้อนเกินไปสารต้านมะเร็งจะลดลง
6. เวลารับประทานอาหาร เคี้ยว 30 ครั้งก่อนกลืน
ผู้ที่กินข้าวเร็ว มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารสูงกว่าผู้ที่กินข้าวช้า เนื่องจากน้ำลายมีบทบาทฆ่าเชื้อ สามารถฆ่าเชื้อ AFT ที่จะก่อให้เป็นมะเร็งตับให้ตายภายใน 30 วินาที ดังนั้น ถ้าเคี้ยวครั้งหนึ่งใช้เวลา 1 วินาที จึงควรเคี้ยว30 ครั้งก่อนกลืนอาหาร เพื่อป้องกันมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยระบบย่อยอาหารให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นด้วย

7. เดินออกกำลังวันละ 20 นาที
แต่ละวันเดินเล่น 20 นาทีหลังอาหาร หรือแต่ละสัปดาห์เดินเล่น 4 ชั่วโมง จะลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อนได้ครึ่งหนึ่ง
 สถาบันสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด(Harvard University) ติดตามวิจัยคน 7 หมื่นคน พบว่า ถ้าเดินทางวันละ 1 ชั่วโมง จะลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ครึ่งหนึ่ง การเดินเล่นจะทำให้เหงื่อออก ซึ่งจะช่วยขจัดสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งออกจากร่างกายได้
8.ตากแดดที่ยังไม่ร้อนวันละ 15 นาที
เป็นวิธีการป้องกันมะเร็งที่ประหยัดเงินมากที่สุด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ การตากแดด เป็นเพิ่มวิตามิน D ภายในร่างกายให้มากขึ้น ใช้ป้องกันมะเร็งได้เลย การขาดวิตามิน D จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งรังไข่ และมะเร็งกระเพาะอาหาร

9. ดื่มไวน์ขณะรับประทานเนื้อ
ในเปลือกองุ่นมีสารชนิดหนึ่งที่สามารถป้องกันมะเร็งระบบย่อยอาหาร การดื่มไวน์ขณะรับประทานเนื้อจะช่วยป้องกันสารพิษในเนื้อสัตว์ถูกดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหาร สมาคมวิจัยมะเร็งของสหรัฐฯ เสนอว่า แต่ละสัปดาห์ ควรรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัวหรือเนื้อแพะเพียงประมาณ 500 กรัม ถ้ารับประทานเนื้อสัตว์มากเกินควร จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้

10 .นอนวันละ 7 ชั่วโมง
สมาคมวิจัยมะเร็งของสหรัฐฯ พบว่า
 ผู้หญิงที่แต่ละคืนนอนไม่ถึง 7 ชั่วโมง มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงถึง 47% เพราะว่าเวลานอนหลับ ร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนิน(melatonin) ซึ่งมีบทบาทยับยั้งการเกิดฮอร์โมนเพศหญิง จึงป้องกันมะเร็งเต้านมได้
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรเตรียมเข้านอนก่อน 22.30 น. เข้านอนก่อน 23.00 น. ตื่นนอนเวลา 06.00-07.00 น. ในกลางวัน 13.00 น. เป็นเวลาที่ง่วงนอนที่สุด ถ้าสามารถหลับซักพัก จะเพิ่มภูมิต้านทานให้สูงขึ้น ป้องกันมะเร็งได้

นอกจากวิธีการป้องกันมะเร็งดังกล่าวแล้ว ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ยังพบว่า เซลล์มะเร็งมีช่วงพักตัว ช่วงพักยิ่งนาน ผู้ป่วยยิ่งมีอัตรารอดสูง ปัจจุบัน แวดวงการแพทย์พยายามแสวงหาวิธีการขยายเวลาการพักตัวของเซลล์มะเร็ง รวมถึงการใช้ยาและการรับประทานอาหาร โดยแนะนำอาหารบางอย่างที่สามารถช่วยให้เซลล์มะเร็งหลับพักได้นาน รวมถึง กะหรี่ พริก ขิง ชาเขียว ถั่วเหลือง มะเขือเทศ องุ่น กระเทียม และบร็อคโคลี่ (broccoli)

เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมีทฤษฎีว่า เซลล์มะเร็งกลัวอุณหภูมิสูง เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิต่ำกว่า 35 องศา เซลล์มะเร็งจะคึกคักมากและขยายแพร่กระจายได้มากที่สุด แต่เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 39.6 องศา เซลล์มะเร็งจะตายหมด มะเร็งเกิดขึ้นเพราะภูมิต้านทานต่ำลง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเลือดอย่างใกล้ชิด ถ้าเลือดสะอาด ขับสารพิษออกไป สุขภาพก็จะแข็งแรงขึ้น การมีไข้ขึ้นก็เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษหรือขยะออกจากเลือด เพื่อเสริมภูมิต้านทาน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศา ภูมิต้านทานจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า แต่ถ้าต่ำลง 1 องศา ภูมิต้านทานจะลดลง 30% ขณะที่อุณหภูมิร่างกายต่ำที่สุดจะเป็นเวลาที่อัตราการตายสูงที่สุด
การป้องกันโรคอื่นๆ ก็ควรพยายามปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นเช่นการออกกำลังกาย การอาบน้ำอุ่น การรับประทานอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย รวมถึงขิง กระเทียม ต้นหอม แอปเปิล เชอร์รี น้ำตาลทรายแดง ชาแดง ปลาและหอย การดื่มชาแดงใส่ขิงสด จะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การดื่มน้ำอุ่นก็ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แก้อาการท้องผูก ลดความอ้วน และเสริมสวยได้ด้วย


การเสริมภูมิต้านทาน ป้องกันมะเร็งและโรคเรื้อรังชนิดต่างๆ ไม่จำเป็นต้องกินยาราคาแพง เพียงใช้วิธีการดังกล่าวก็สามารถได้ผลที่น่าพอใจได้ อีกทั้งยังประหยัดเงินได้มากด้วย

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มาหามิตร 79 มายเฟรนด์ เมนไฟน์
ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคได้จากจุลินทรีย์ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับว่าต้นเชื้อเป็นจุลินทรีย์สายพันธุ์ใด และประโยชน์จากคุณค่าสารสำคัญตามชนิดของพืชผักผลไม้ที่นำมาใช้หมัก เพราะการหมักเป็นการแปรรูปที่เป็นการสกัดสารสำคัญในพืชผักผลไม้ ซึ่งในประเทศไทยเรามี พืชวัตถุดิบมากมายที่นำมาใช้ เช่น ลูกยอ มะขามป้อม ผลไม้ชนิดต่าง ๆตามฤดูกาล ดังนั้น น้ำหมักชีวภาพที่ดี ก็ต้องมีสารสำคัญของพืชผักผลไม้ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในการหมักจะมีสารสำคัญออกมา สารสำคัญนี้แหละที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสุขภาพ นอกเหนือจากโปรไบโอติก ดังนั้นในวัตถุดิบที่เราหมัก จะใช้เวลาแตกต่างกันที่จะสกัดสารสำคัญออกมา
มาหามิตร มายเฟรนด์ เมนไฟน์ ประกอบด้วย
ก้านตอง 40% น้ำมังคุด 20% น้ำกระชายดำ 15% น้ำมะขามป้อม 10% น้ำผักเชียงดา 10% เจียวกู้หลาน4.9% ชะเอม 0.1%
สาระสำคัญของพืชทั้ง 7 ตัวนี้ มีในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในการหมักจะมีสารสำคัญออกมา สารสำคัญนี้แหละที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสุขภาพ ทำให้
เจริญอาหาร หลับสบาย ถ่ายสะดวก เพิ่มภูมิต้านทาน
สรุปสรรพคุณทางยาของสมุนไพรทั้ง 7 ชนิด
ก้านตอง 40%

                 สมุนไพรพื้นบ้าน โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งเกี่ยวกับมะเร็ง ติดเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ภูมิคุ้มกัน ANTI-INFLAMMATION
โดยมีการวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโนโลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น
นักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์ ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (
Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี
ทางภาคเหนือ ให้ลูกสาวหัดกิน พลูคาวตั้งแต่เล็ก เชื่อกันว่าทำให้ผิวพรรณ สดใส สวย และสาวเหนือก็สวยจริง
น้ำมังคุด 20%

                 ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
น้ำกระชายดำ 15%

    กระชายดำ เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาสูงจัดได้ว่า    เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทำให้คึกคักกระชุ่มกระชวย
    ช่วยสร้างความสมดุย์ของความดันโลหิตให้ไหลเวียน
       ดี ขึ้น    ผิวพรรณผุดผ่องสดใสและแก้โรคบิดแก้ปวดท้องเป็นต้น
    สำหรับสุภาพสตรีช่วยให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลแก้ตกขาว    ขยายหลอดเลือดขจัดไขมันในหลอดเลือดโรคกระเพาะ
    ความดันโลหิตสูง,เบาหวาน,โรคหัวใจ..   
สรรพคุณอื่นๆ
    บำรุงฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ชายเหนือชาย     กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย
    บำรุงกำลัง     เป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่     ขับลม ขับปัสสาวะ    แก้โรคกระเพาะอาหาร
 
  บำรุงเลือดสตรี แก้ตกขาว ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ      แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากรับประทานอาหาร
    ไม่เป็นเวลา
น้ำมะขามป้อม 10%

                 ผลมะขามป้อม มีวิตามินซีสูงมากที่สุดในบรรดาพืชทุกชนิดที่มีในโลก ในผลมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์วิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นาน ผลแห้ง เก็บไว้ในที่เย็น เช่น ในตู้เย็น นาน ๓๖๕ วัน จะเสียวิตามินซีไปร้อยละ ๒๐
                 ผลมะขามป้อมยังมีสารในกลุ่ม แทนนินชื่อว่า emblicanins A และ B ที่มีฤทธิ์เป็นเช่นเดียวกับวิตามินซี แต่มีฤทธิ์แรงกว่าและไม่สลายตัวง่ายเช่นเดียวกับวิตามินซี สารดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดพิษโลหะหนัก รักษาโรคลักปิดลักเปิด ทั้งยังช่วยเสริมฤทธิ์วิตามินซี
น้ำผักเชียงดา 10%


                 ผักเชียงดาเป็นทั้งยาสมุนไพรและเป็นอาหารเพื่อรักษาโรคโดยกลุ่มหมอเมืองทางภาคเหนือมานานแล้ว กล่าวคือ การใช้เป็น ยาแก้หลวง” (คล้ายยาครอบจักรวาลของแผนปัจจุบัน) ถ้าคิดไม่ออกก็บอกผักเชียงดา เช่น แก้เบาหวาน เวียนศีรษะ ปวดศีรษะตัวร้อน แก้ไข้สันนิบาต (ชักกระตุก) แก้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด แก้แพ้ยา แพ้อาหาร ปวดข้อ เป็นยาระบาย ช่วยระงับประสาท หรือเมื่อมีอาการคิดมากหรือจิตฟั่นเฟือน ฯลฯ ส่วนการนำมาใช้เป็นยาก็ให้นำผักเชียงดามาสับแล้วนำไปตากแห้งบดเป็นผง ใช้ชงเป็นชาดื่ม หรือจะนำมาบรรจุลงในแคปซูลก็ได้[5]
เจียวกู้หลาน4.9%

                 ใช้เป็นยาแก้อักเสบ ขับเสมหะ แก้ไอและหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง และยังสามารถที่แปรรูปเป็นชาชง มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย, แก้อาการอ่อนเพลีย, ช่วยในการเจริญอาหาร, ช่วยให้นอนหลับ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้าย โสมคน แต่สามารถรับประทานได้เป็นประจำและมีความปลอดภัย ต่างจากโสมคน ซึ่งหากใช้เกินปริมาณที่กำหนดอาจเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้
                 ในประเทศญี่ปุ่นนิยมนำสมุนไพรปัญจขันธ์เป็นยาที่ขับปัสสาวะ, ลดไข้, แก้อักเสบ, บำรุงกำลังและเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แก้ผมหงอก, ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกาย, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
                 สารออกฤทธิ์ของปัญจขันธ์มีชื่อเรียกว่า “กิปิโนไซด์ ” ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับ จินเซ็นโนไซด์ในโสมคน ปัญจขันธ์จะมีสารประกอบ ซาโปนิน 82 ชนิด ซึ่งโสมคนจะมีอยู่ 28 ชนิด แต่มีเหมือนกันอยู่ 4 ชนิด คือ
จินเซ็นโนไซด์อาร์บี-1
จินเซ็นโนไซด์อาร์บี-3
เซโนไซด์อาร์ดี
        เซโนไซด์เอฟ-3
ชะเอม 0.1%

                 เป็นยอดสมุนไพรที่ช่วยขจัดพิษ ซึ่งการรับประทานเป็นประจำในปริมาณน้อย ๆ จะช่วยกำจัดพิษที่สะสมในร่างกายให้ลดลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษที่สะสมในเลือดและตับ และเมื่อเทียบกับสมุนไพรชนิดอื่นแล้วชะเอมเทศนั้นจะมีรสชาติที่อ่อนนุ่มและไม่มีผลข้างเคียง จึงเป็นที่นิยมนำมาช่วยขจัดสารพิษมากกว่าสมุนไพรชนิดอื่น และชะเอมเทศยังมีชื่อเสียงในด้านเป็นยาขับเสมหะ นำมาทำเป็นน้ำชาแก้อาการไอและอาการเจ็บระคายคอ และนิยมนำมาใช้เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
       ต่าง ๆ
กระบวนการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคจะต้องคำนึงถึง
ความปลอดภัยเป็นสำคัญ
มีการควบคุมความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นจนขั้นตอน สุดท้ายของการผลิตโดย
ไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายทั้งจากวัตถุดิบ
หรือที่เกิดขึ้นในกระบวนการหมัก และต้องผลิตให้ได้ตามมาตรฐานน้ำหมัก สำหรับการบริโภค
ในปัจจุบันมีการพัฒนาใช้ต้นเชื้อจุลินทรีย์ในการ ผลิตน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งต้นเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตนั้น ต้นเชื้อต้องบริสุทธิ์ ที่สามารถควบคุมทั้ง ความปลอดภัยของน้ำหมัก และยังสามารถทำให้ได้คุณภาพ และประสิทธิผลต่อสุขภาพจากต้นเชื้อและสารเมทาบอไลต์ที่ได้จากต้นเชื้อ
ต้นเชื้อบริสุทธิ์นี้จะ ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือก ให้ได้ต้นเชื้อบริสุทธิ์ และศึกษาถึงคุณสมบัติของ การส่งเสริมสุขภาพ ที่เรียกว่า โปรไบโอติกหรือจุลินทรีย์เสริมชีวนะ ซึ่งจะต้องคัดสรรและศึกษาคุณสมบัติต่างๆดังกล่าวในห้องปฏิบัติการทางวิทยา ศาสตร์ ดังนั้นในการจะผลิตน้ำหมักชีวภาพให้ปลอดภัยในการบริโภค จึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจทางเภสัชศาตร์ด้วย
กระบวนการผลิตนี้จึงต้องนำระบบการควบคุมแบบ GMP (หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต)   
มาหามิตร 79 มายเฟรนด์เมนไฟร์ ได้ GMP และ อย. 13-2-03751-2-0016  ตรวจสอบได้
ลขสารบบ
ชื่ออาหาร(ไทย/อังกฤษ)
สถานะ
13-2-03751-2-0016
เครื่องดื่มสมุนไพรก้านตอง (ผักคาวตอง) ตรา มายเฟรนด์ เมนฟรายด์
คงอยู่
*หมายเหตุ เลขใบสำคัญเดิม : -


วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภคได้จากจุลินทรีย์ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับว่าต้นเชื้อเป็นจุลินทรีย์สายพันธุ์ใด และประโยชน์จากคุณค่าสารสำคัญตามชนิดของพืชผักผลไม้ที่นำมาใช้หมัก เพราะการหมักเป็นการแปรรูปที่เป็นการสกัดสารสำคัญในพืชผักผลไม้ ซึ่งในประเทศไทยเรามี พืชวัตถุดิบมากมายที่นำมาใช้ เช่น ลูกยอ มะขามป้อม ผลไม้ชนิดต่าง ๆตามฤดูกาล ดังนั้น น้ำหมักชีวภาพที่ดี ก็ต้องมีสารสำคัญของพืชผักผลไม้ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในการหมักจะมีสารสำคัญออกมา สารสำคัญนี้แหละที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสุขภาพ นอกเหนือจากโปรไบโอติก ดังนั้นในวัตถุดิบที่เราหมัก จะใช้เวลาแตกต่างกันที่จะสกัดสารสำคัญออกมา

มาหามิตร มายเฟรนด์ เมนไฟน์ ประกอบด้วย

น้ำมะขามป้อม 10% 


น้ำกระชายดำ 15% 


                                     เจียวกู้หลาน4.9%

   

                                            ชะเอม 0.1%
  

 

                                                                     น้ำผักเชียงดา 10%
                          
                                           น้ำมังคุด 20% 

                                                           

                                                             ก้านตอง 40%