วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

สาเหตุการตายอันดับ3ในสหรัฐอเมริกามาจาก ใบสั่งยาของหมอ

ในสหรัฐอเมริกาสาเหตุการตายเป็นอันดับสามมาจากใบสั่งยาของแพทย์รองจากโรคหัวใจและมะเร็ง


คนไทยอายุยืนขึ้น อายุเฉลี่ยผู้หญิงไทยล่าสุดอยู่ที่ 79 ปี ผู้ชายอยู่ที่ 74 ปี


ในสิบปีข้างหน้าคนในวัย 60-80 ปี จะมีสัดส่วนสูงถึง 25% ของประชากรทั้งหมด
ครองชีพสมัยนี้ ทุกอย่างแพงหมด และถ้าป่วยตอนอายุ 60 ขึ้นไปส่วนใหญ่จะป่วยหนัก ป่วยเยอะ ใช้เงินรักษามาก
ควรจะหาวิธีป้องกันให้ได้มีโอกาสแก่อย่างมีสุขภาพ ตายยาก ไม่ใช่มีชีวิตอยู่แต่ต้องนอนอยู่แค่บนเตียง




อายุมากขึ้นต้องประคองตัวเอาไว้ ที่ต้องระวังให้มากที่สุดก็คือระวังอย่าหกล้ม ถ้าหกล้ม ระบบจะเสียหมด




การออกกำลังกาย ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บว่า การออกกำลังกายถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องทำให้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนด้วย เช่น การวิ่งอาจไม่เหมาะกับบางคนเพราะทำให้เข่าพัง หากต้องการวิ่งก็ควรวิ่งในน้ำ เพราะน้ำจะช่วยผ่อนแรงกระแทก
การแพทย์ในยุคต่อจากนี้ คือต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพื่อแก้ปัญหาคนไข้ล้น โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ



คำพระท่านว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ในสมัยนี้ชอบใช้ภาษาหรูๆ ว่าเจริญไว เอดจิ้ง (Aging)
พระท่านจึงบอกเราว่าใช้ชีวิตอย่าประมาท เรากำลังแก่มากขึ้นทุกๆวัน
ร่างกายค่อยๆแก่ขึ้นโดยเราอาจไม่ไดสังเกต มารู้ตัวอีกที ผิวหนังเริ่มหยาบ กร้าน ไม่ยืดหยุ่น เหี่ยวย่น ผมเริ่มบาง หงอก ข้อ เข่า ติดขัด ปวดเมื่อยบ่อยขึ้น ที่สำคัญมีการเปลี่ยนทางเคมีในร่างกายที่เราจะไม่รู้เลย 



โดยกฎธรรมชาติ พระท่านว่ากฎแห่งกรรม ที่ขับเคลื่อนชีวิต ไปตามพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ
การใช้ชีวิต ความเจ็บปวด ทรมาน ซึมเศร้า เจ็บป่วย
ประสาทสัมผัส เปลี่ยนไป สายตายาว มัวมองไม่ชัด หูตึง การได้กลิ่นเสียไป ลิ้นไม่บอกรสเหมือนก่อนทำให้กินอาหารไม่อร่อยจืดชืด กล้ามเนื้อลีบลง มวลกระดูกลดลง



ที่สำคัญที่สุด อวัยวะที่กำลังทำงานได้น้อยลง ตับ ไต
ตับเป็นอวัยวะที่ขจัดพิษ ขับของเสีย ที่เรากินเข้าไป เหล้า ยา ปลาปิ้ง อาหาร
พวกหวานมันเค็ม รวมบุหรี่
ไตกรองสารพิษให้เลือดสะอาด ควบคุมปริมาณเกลือแร่ความเป็นกรด ด่างของร่างกาย
พออายุมากขึ้น ตับไตทำงานได้น้อยลง โดยเฉพาะการขจัดพิษของยาที่เราได้รับจากใบสั่งยาของหมอ หรือซื้อยากินเอง จะน้อยลง และบางครั้งบางคนจากโลกนี้ไป


  

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไขมันพอกตับ อาจทำให้โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งกำเริบ
ไขมันพอกตับ( fatty liver) เป็นภัยเงียบ


หนึ่งในสี่ของประชากรอเมริกันมีภาวะไขมันพอกตับ
เป็นโรคที่คุกคามสุขภาพอย่างมากแต่คนไม่ค่อยรู้เพราะไขมันพอกตับไม่ได้เป็นสาเหตุการตายโดยตรงแต่มันเป็นตัวเร่งการ ให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
ไขมันพอกตับเกิดจากมีน้ำตาลในเลือดมาก จนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน
( lipogenesis)






ในปัจจุบันน้ำตาลที่เรียกว่า น้ำเชื่อมข้าวโพดชนิดฟรุ้คโต้สสูง (High fructose corn syrup เขียนย่อว่า HFCS) ที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนำมาใช้ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่อง ดื่มสำเร็จรูปทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำอัดลม อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ
ในวงการยาพูดกันว่า เมื่อ อย.อเมริกาอนุญาต ให้ใช้น้ำเชื่อมข้าวโพดมีบริษัทยายักษ์ใหญ่รีบชื้อลิขสิทธิ์ยาแก้แพ้ คลอเฟนนิคอล และยาแก้โรคเบาหวานพวกคลอโปรลาไมด์ไว้ขายให้ผู้ป่วยเบาหวานและพวกภูมิแพ้ที่จะเพิ่มขึ้น




ขณะที่กลูโค้สเป็นน้ำตาลที่ย่อยสลายและใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ทันทีโดยเซลทุกชนิดในร่างกาย แต่ฟรุ้คโตสอาศัยโมเลกุลตัวพาที่เรียกว่า GLUT – 5 transporter ซึ่งเซลร่างกายทั่วไปมีใช้จำกัดมาก มีแต่เซลตับเท่านั้นที่ใช้ฟรุ้คโตสได้ดี แต่ถ้ากินเข้าไปมากๆแบบว่าดื่มโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรทุกวัน ตับใช้ไม่ทันฟรุ้คโต้สจะเหลือใช้ ตับเก็บตุนไว้ที่ตับ และธรรมชาติของอาหารให้พลังงานทุกชนิด หากเหลือใช้จะถูกเปลี่ยนเป็น อะเซติลโคเอ. (acetyl CoA) แล้วถูกนำเข้าเก็บในรูปของไขมัน ฟรุ้คโต้สก็เช่นกัน เมื่อเหลือใช้จึงจะถูกนำเข้าเก็บที่ตับในรูปของไขมัน ซึ่งถ้ามากๆก็เกิดภาวะไขมันแทรกตับ ถ้าแทรกมากๆเซลตับก็จะอักเสบ เรียกว่าโรคตับอักเสบจากไขมันโดยไม่เกี่ยวกับอัลกอฮอล์ (NASH) อันว่าตับของคนเรานี้ เมื่อได้เป็นตับอักเสบแล้ว ไม่ว่าจะอักเสบจาก NASH หรือจากแอลกอฮอล์ หรือจากไวรัสลงตับ อนาคตล้วนมุ่งไปสู่ที่เดียวกันคือร่างกายจะพยายามซ่อมด้วยการแทรกพังผืดเข้าไปทำให้กลายเป็นตับแข็ง และภาวะตับแข็งนี้แหละ ที่นำสู่การเป็นมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งยอดนิยมของไทยเรา การบริโภคน้ำเชื่อม HFCS มากเกินขนาดจึงมีผลเสียหายในทางทฤษฏีได้ถึงขนาดนี้แหละ





ไขมันพอกตับ เป็นตัวเร่งให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การดื้ออินซูลิน ภาวะก่อนเบาหวาน มีการสะสมไขมันตามพุง อวัยวะต่างๆ และตับ
ไขมันที่สะสมตามพุง ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น ระดับไขมันดี (HDL)ลดลง แต่กลับเพิ่มไขมันเลว(LDL) ที่อันตรายเพิ่มมากขึ้น เพิ่มอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ และนี่เองคือสิ่งที่คนทั่วไปไม่ตระหนักถึงภัยอันน่ากลัวว่าไขมันพอกตับนี่ก็ทำให้หัวใจวายได้
ปัจจุบันเราพบเด็กอายุแค่12 ขวบ ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ต้องเข้ารักษาผ่าตัดปลูกถ่ายตับกันแล้ว






ในเมืองไทยนอกจากน้ำอัดลม ยังมี เครื่องดื่มชาเขียว ชาขาว จับเลี้ยง นมเปรี้ยว กาแฟกระป๋องฯลฯ ที่ประดังน้ำตาลผสมเข้าไปตั้งแต่8-12ช้อนชา

ทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากไขมันพอกตับ 

1. เลิกดื่มเครื่องดื่ม high fructose corn syrup ก่อนจะซื้อมาบริโภคไม่ว่าซอสมะเขือเทศ น้ำสลัด อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมด้วย น้ำตาลชนิดนี้หรือไม่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่เคยทราบมาก่อนว่าซอสมะเขือเทศบรรจุขวดมักมีปริมาณ น้ำตาลมากกว่า 
คุ้กกี้ เมื่อเทียบตามปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคเท่าๆกัน

2. ลดแป้งขัดขาว งดเนื้อสัตว์ ในมื้ออาหาร เพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว ธัญพืชที่มีเมล็ดเช่นเมล็ดฟักทอง งา 

3. ลงทุนกับน้ำมันปรุงอาหารเช่น น้ำมันมะกอก (olive oil), macadamia nut oil

4. ทานไขมันที่มีคุณค่าเช่น น้ำมันปลา (fish oil) น้ำมันมะกอกเพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์ตับ.
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ30นาที เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ อันเป็นการลดความเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลิน และไขมันพอกตับ ไปในตัว

6. ส่วนวิตามิน B vitamins และแมกนีเซี่ยม magnesiumจะช่วยสนับสนุนให้ตับเยียวยาซ่อมสร้างเซลล์ตับที่เสียหายได้ดีขึ้น

7. ทานผักที่ช่วยล้างพิษ เร่งกำจัดพิษจากตับเช่น ผักตระกูลบร็อคเคอรี่ คะน้า กะหล่ำ กระเทียม หัวหอม 
8. สมุนไพรและสารเสริมอาหารบางชนิดก็ช่วยได้เช่น Milk Thistle. , Lipoic Acid, N-Acetyl-l-Cysteine อันเนื่องจากผลเข้าไปเสริมให้ตับสร้างสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากในตับ คือ glutathione
9.สวนล้างพิษตับด้วยกาแฟทุกวันเพื่อกระตุ้นตับให้ขับ พิษออกจากตับและทำให้ลำไส้สะอาด 
การสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟกระตุ้นตับให้หลั่งเอ็นไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานสเฟอเรส

จากการทดลองพบว่าเมื่อกาแฟดูดซึมเข้าไปในตับ สารคาเฟอีน (Caffeine) จะกระตุ้นให้ตับทำงานได้ดีขึ้น ขจัดสารพิษได้ดี และในกาแฟยังมีเกลือคาเฟสดอล ปาลมีเตท  (Cafestol palmitate) กับเกลือคาวีออล ปาลมีเตท (Kahweol palmitate) ซึ่งจะกระตุ้นตับให้หลั่งเอ็นไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานส้เฟอเรส ออกมามากกว่าปกติถึง 650 % เอ็นไซม์ตัวนี้อยู่'ในกระบวนการสำคัญ'ในการ ขจัดเซลล์มะเร็งที่เรียกว่าคาร์ซีโนเจนิค ดีท๊อกซ์ซึพิเคซั่น (Carcinogenic detoxification)



วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อร่อย ติด ตายผ่อนส่ง

น้ำหวานฆ่าคนตายนับแสน


สถาบันฟรีดแมนด้านโภชนาการศาสตร์และนโยบายแห่งมหาวิทยาลัยทัฟส์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ความหวานจากน้ำหวานประเภทน้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา และชาเย็นบรรจุขวด ที่กำซาบซ่านบนลิ้นนั้น เป็นอันตรายถึงกับชีวิตได้ หากมีการบริโภคมากจนเกินไป



การศึกษาของทีมวิจัยแห่งสถาบันฟรีดแมนฯ อาศัยการวิเคราะห์สถิติผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตใน 50 ประเทศ ประกอบกับการทำวิจัยเกี่ยวกับปริมาณการบริโภคน้ำตาลของประชาชนในประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลอ้อย น้ำตาลจากหัวบีท และ น้ำหวานจากข้าวโพดที่อุดมไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องดื่มรสหวาน

          ทีมวิจัยชี้ว่า ใน 20 ประเทศที่มีการบริโภคน้ำหวานสูงสุดของโลก มีประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาและทะเลแคริบเบียนมากถึง 8 ประเทศ เช่น เม็กซิโก ที่มีประชากรเป็นโรคเบาหวานมากกว่า 10% มีอัตราผู้เสียชีวิตเพราะดื่มน้ำหวานมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร




          ตรงกันข้ามกับญี่ปุ่น ที่ประชาชนนิยมดื่มชาที่ไม่ผสมน้ำตาลเป็นหลัก จึงมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะการบริโภคน้ำหวานน้อยมากอย่างไม่ต้องสงสัย

          ขณะที่ชาวอเมริกันที่บริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 22.2 ช้อนชาต่อวัน (เทียบเท่ากับพลังงาน 355 แคลอรี) จากการบริโภคอาหาร และ เครื่องดื่มผสมน้ำตาลเป็นหลักก็มีผู้เสียชีวิตเพราะโรคที่เกี่ยวข้องกับความหวานในระดับสูงดังที่กล่าวมาแล้ว

          ในน้ำอัดลมขนาด 12 ออนซ์ (355 ซีซี) จะมีน้ำตาลผสมอยู่ราว 10 ช้อนชา ซึ่งสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาเตือนประชากรชาวอเมริกันว่า ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค ซึ่งถ้าต้องการบริโภคน้ำอัดลมก็ควรเลี่ยงไปดื่มเครื่องดื่มที่ใช้สารทดแทนความหวานของน้ำตาลแทน




          ทางฝั่งผู้ผลิตเครื่องดื่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นจำเลยสังคมอย่าง สมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่ม ที่เป็นตัวแทนของผู้ผลิตเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ในแดนมะกันรีบออกมาตอบโต้การเปิดเผยผลวิจัยฉบับนี้ ว่า ผลการวิจัยไม่ได้บ่งชี้ว่า การบริโภคเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง และผู้เขียนผลงานวิจัยฉบับนี้ก็ทราบดีว่า มีการให้คำแนะนำการบริโภคเครื่องดื่มผสมน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคแล้วเช่นกัน

เฉพาะภายในปี 2556 ผู้ที่นิยมความหวานจากเครื่องดื่มทั่วโลกต้องสังเวยชีวิตกว่า 184,000 ราย และในจำนวนนี้เป็นพลเมืองในสหรัฐอเมริกามากถึง 25,000 ราย



ความหวานในน้ำหวานกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง ที่เป็นต้นเหตุทำให้ผู้บริโภคตาย


มีหลักฐานชี้ชัดว่า น้ำตาลในน้ำหวานก่อให้เกิดโรคอ้วน และโรคอ้วนก็ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไร้เชื้อเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไต ที่มีส่วนส่งเสริมให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 17 ล้านคนทั่วโลกต่อปี
          เพียงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มักจะเกิดกับคนที่เป็นโรคอ้วน ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 133,000 รายต่อปี
          โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันก็คร่าชีวิตพลเมืองโลกราว 45,000 ราย


           ส่วนมะเร็งที่เกิดในกลุ่มคนเป็นโรคอ้วนสังหารคนไปราวปีละ 6,450 ราย


วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ระวังเบาหวาน จะจบที่ ตา ตีน ไต หัวใจ ตาย

เป็นเบาหวานต้องระวัง ตา ไต ตีน หัวใจ หรือตาย



เป็นเบาหวาน และดูแลรักษาไม่ดีแล้ว อวัยวะที่อาจจะเสื่อมสภาพไปที่สำคัญนั้น จะอยู่ที่ "ตา-หัวใจ-ไต-ตีน"












เบาหวาน ถ้ามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่เกิน ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ มิลลิลิตร ผู้ป่วยมักจะรู้สึกสุขสบาย จะมีอาการชัดเจน เช่น กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย ต่อเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดเกิน ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ มิลลิลิตร ขึ้นไป 
ความดันเลือดสูงเล็กน้อยถึงปานกลาง มักจะรู้สึกสบายดี จะมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ต่อเมื่อความดันสูงมากๆ เช่น มากกว่า ๑๘๐/๑๑๐ มิลลิเมตรปรอท
  


สำหรับโรคเรื้อรังกลุ่มนี้ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นรุนแรงไม่มาก (และไม่มีอาการแสดง) แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ เข้า อาจเป็นเวลา ๕-๑๐ ปีขึ้นไป ก็อาจก่อเกิดโรคแทรกซ้อนอันตรายได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) โรคหลอดเลือดสมองตีบ (อัมพาต อัมพฤกษ์)  โรคหลอดเลือดไตตีบ (ไตวาย) โรคแทรกซ้อนเหล่านี้มักค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นทีละน้อย โดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว สะสมจนถึงจุดที่โรคระเบิดออกมา ก็จะปรากฏอาการที่น่าตกใจ และยุ่งยากในการเยียวยาต่อไป วงการแพทย์จึงเรียกขานโรคเรื้อรังกลุ่มนี้ว่า silent killer ซึ่งแปลว่า "นักฆ่าเงียบ"  ดังนั้นการที่จะบอก (ตัดสิน) ว่าโรคเรื้อรังกลุ่มนี้รักษาได้ผลหรือยัง จึงไม่สามารถดูจากอาการแสดงของโรคได้ แต่ต้องมีการตรวจความดัน (สำหรับโรคความดันเลือดสูง) และระดับน้ำตาลในเลือด (สำหรับเบาหวาน) เป็นระยะๆ จึงจะทราบผลแน่นอน 










ผู้ป่วย ตรวจเลือดน้ำตาล240 หมอบอกเป็นเบาหวานเอายาไปกิน
พอกินยา รู้สึกวิงเวียน ใจสั่น หงุดหงิด เพลียหมดแรง เลยเลิกกินยา
.ใช้วิธีรักษาตัวเอง กินอาหารหวานๆ น้อยลง ออกกำลังกายด้วยการวิ่งจอกกิ้งทุกวัน หลังๆกินอะไรไม่ลง ได้แต่ดื่มน้ำ ผอมลงน้ำหนักลดลง 4 กก.กลัวเป็นมะเร็ง 



ตามความจริงจะต้องไปหาหมอใหม่ บอกหมอเรื่องอ่อนเพลีย น้ำหนักลด และไม่ได้กินยาหมอ
การใช้ยาสมุนไพลแก้เบาหวาน เว้นไว้ก่อน

ที่จริงการกิน ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาแก้เบาหวานนั่นแหละถ้ากินไม่ไม่เป็นจะเกิด อาการของน้ำตาลในเลือดต่ำคือหัวเบา วิงเวียน สับสน หวิวๆ เหงื่อแตก ปวดหัว ซึ่งเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นต้องรีบหาอะไรหวานๆกินทันที ต้องพกลูกอมหวานๆติดกระเป๋าไว้ด้วย ในภาวะปล่อยให้น้ำตาลต่ำบ่อยๆไม่ดีเพราะทำให้สมองเสื่อมได้ 

แต่การกลัว ฤทธิยาไม่ยอมกินยา ร่างกายจะไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคส ร่างกายจะเริ่มใช้กล้ามเนื้อ ไขมัน แทนน้ำตาลกลูโคส ทำให้น้ำหนักตัวลดลง

ปกติไตจะรับมือกับน้ำตาลในเลือดได้ไม่เกิน 240 มก./ดล. ถ้าน้ำตาลสูงกว่านั้นก็มักจะดูดเอาน้ำออกมาจากร่างกายทำให้ช็อกได้ ต้องเข้ารพ.ลูกเดียว



ถ้าเซลล์ร่างกายทั้งหลายเอากลูโค้สในเลือดไปใช้ไม่ได้ 
เพราะอินสุลินที่มีหน้าที่เอาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ไม่ได้
เรียกว่าเซลล์ร่างกายดื้อต่ออินสุลิน 
เมื่อเซลล์ทั่วร่างกายขาดน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจำเป็น
สำหรับเซลล์ 
ร่างกายก็ต้องดิ้นรนหันไปใช้พลังงานด้วยการ
ปล่อยฮอร์โมนกลูคากอนซึ่งสร้างน้ำตาลจากไกลโคเจนในตับ
ออกมา 
ปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอลและอีพิเนฟรินซึ่งจะสลายโปรตีน
มาทำเป็นกลูโค้ส และสลายไขมันมาเป็นคีโตนเพื่อให้
พลังงานแก่เซลล์ 
ยังผลให้มีการสลายกล้ามเนื้อไปเป็นน้ำตาล ทำให้กล้ามเนื้อลีบ 
พุงหดหาย และน้ำหนักตัวลดลงไปอย่างรวดเร็ว 
และทำให้น้ำตาลและคีโตนในเลือดสูงขึ้นมาก 
เลือดมีความเข้มข้นมาก 
ซึ่งจะเกิดแรงออสโมซีสดูดเอาน้ำจากช่องว่างนอกเซล
เข้ามาในกระแสเลือด ทำให้โซเดียมในเลือดเจือจาง
กลายเป็นภาวะโซเดียมต่ำเฉียบพลัน ทำให้สมองเกิดอาการ
เป๋ๆมึนๆ งงๆ 
อีกด้านหนึ่งเมื่อมีน้ำตาลและคีโตนมากร่างกายก็ต้อง
ขับน้ำตาลและคีโตนทิ้งทางปัสสาวะ 
ซึ่งก็ต้องอาศัยน้ำจำนวนมากในการขับจนร่างกายขาดน้ำ 
จนทำให้ปากแห้งคอแห้งกระหายน้ำต้องดื่มน้ำบ่อย 
สารกลุ่มคีโตนเองมีฤทธิ์ทำให้คลื่นไส้อาเจียน 
แถมมีฤทธิ์เป็นกรดทำให้เลือดมีความเป็นกรดมาก 
จนร่างกายต้องเคลื่อนย้ายเอาโปตัสเซียมออกมาจากเซล
เพื่อมาต้านความเป็นกรด 
อีกด้านหนึ่งร่างกายก็ต้องบังคับการหายใจให้หอบเหนื่อย
เพื่อไล่เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปทางลมหายใจให้เร็วขึ้น
เพื่อช่วยลดความเป็นกรด คนที่ตกอยู่ในภาวะร่างกายเป็นกรด
และคีโตนคั่งจากเบาหวานหรือ DKA(Diabetic Keto Acidosis) 
จะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน กินอะไรไม่ลง  ปัสสาวะบ่อย 
คอแห้งปากแห้ง หอบเหนื่อย หมดเรี่ยวหมดแรง สลึมสลือ 
หายใจมีกลิ่นคล้ายละมุด ไม่รีบไปโรงพยาบาลตายได้จริงๆ