วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ผ่าตัดบายพาสหัวใจแล้ว


ว่าด้วยโรคแห่งความเสื่อมหลอดเลือดแดงหัวใจตีบ



เมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปี แล้วได้โรคมาหลายโรค 
1.ความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา 


2.ไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา 


3.เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ


4.ไม่อ้วนแต่ลงพุง คือน้ำหนักเกิน และมีไขมันส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง คือหลังค่อมพุงแอ่น



หมออายุรกรรม หัวใจก็ให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว 
กินยาตามหมอสั่ง ใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม อาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น  จิตใจก็แย่ มองอนาคตตัวเองด้วยความกังวล จะเป็นเหมือนเพื่อนที่มีความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาทีละหนึ่งกำมือ วันหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส แล้วก็ตายจากไปในสองปีต่อมา

จะต้องปรับชีวิตในสามประเด็น 
อาหาร 
ออกกำลังกาย 
และอารมณ์ต้องดี จัดการความเครียดได้

1.เรื่องอาหาร ดื่มน้ำเปล่า ไม่ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ไม่กินของหวาน



กินผักผลไม้มาก เคี้ยว 30 ครั้งแล้วค่อยกลืน

ใช้เครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงที่สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย การปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว มื้อเย็นมื้อลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะ
สำคัญต้องเลิกกิน เนื้อสัตว์ หมู วัว แกะ ไก่ เป็ด ฯลฯ



2.ออกกำลังกาย ออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ขนาดต้องหอบจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง อาจใช้วิธีเดิน วิ่งเยาะๆ ยกดัมเบลอาทิตย์สองวันแรกๆระวังอย่าหนักมากเพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบบาดเจ็บได้




3.อารมณ์ สวดมนต์ ทำสมาธิ คิดเชิงบวกทำตามที่เหมาะสม




วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

แค่คิดโกรธ มองโลกในแง่ร้ายก็ป่วยแล้ว

ร่างกายมีอวัยวะสำคัญที่คอยช่วยชีวิต เป็นตัวตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนี

หรือแม้แต่จะทนรับความอัปยศของตนได้อย่างไร บางคนใช้วิธีฆ่าตัวตาย


แต่บางที่ยังไม่ทันได้ทำร่างกายมันชิงตายก่อนก็มี เช่น เครียดจนความดันขึ้นสูงเส้นเลือดในสมองแตกตายโดยฉับพลัน หรือเกิดอาการหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรง หัวใจวาย ตาย 



ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อกายได้รับความเครียด ความกดดัน รู้สึกผิดหวัง เสียของรัก อยากได้ของที่พยายามอย่างไรก็ไม่ได้ รักคนที่เขาไม่รัก
ต่อมหมวกไตจะผลิตจะสร้างสารแห่งความเครียดออกมา 


สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้

1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตกตายได้ หรือถ้าเส้นเลือดแดง ที่ไปหล่อเลี้ยง กล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้



 
2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ 
ถ้าหลั่งมาก น้ำกรด ในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร 
ถ้ากัดกร่อน เส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย
ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร

3.สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว  
ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายยาก


4.โคเรสเตอรอล จะถูกสร้างขึ้นทั้งๆ ที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางรม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ


เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น สมองจะทำให้เกิดอัมพาต หรือที่หัวใจจะเกิดหัวใจวายได้


เราจึงควรคิดเชิงบวกให้มากๆ โลกนี้สดใส ใครๆก็รักเรา ซึ่งการคิดได้เช่นนี้จะได้ไม่เที่ยวโกรธใครๆให้เสียจิต การมีใจสงบ มีสติ
ทางการแพทย์พบว่า ต่อมใต้สมอง จะผลิตสารสุข เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมา ทำให้ร่างกายเบา สบาย กินได้นอนหลับสนิท ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น

โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็ว หากเป็นโรคไร้เชื้อเรื้อรังเช่น โรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง จากไม่มีหวังหายก็หายได้

                                                         

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การสะสมไขมันในช่องท้องเป็นอันตราย

อย่าประมาทไขมันในช่องมันเป็นอันตราย









ไขมันในช่องท้อง หรือ เจ้า Visceral fat ในทางเทคนิคคือ เนื้อเยื่อไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในช่องท้อง มีลักษณะคล้ายเจลลี่สีเหลืองเกาะอยู่ภายในช่องท้องและรอบๆ อวัยวะต่างๆ รวมถึงลำไส้ ตับ ตับอ่อน และไต




คนที่มีพุงที่ยื่นออกมา หรือมีรอบเอวขนาดใหญ่ 


ผู้ชายมีรอบเอวเกิน 90 ซ.ม.


ผู้หญิงมีรอบเอวเกิน80 ซ.ม.

เส้นรอบเอวคือสัญญาณบอกว่ามีไขมันช่องท้องมาก หรือเป็นโรคอ้วนลงพุง  



จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี ค.ศ. 2008 พบว่ากว่า 32% หรือ 1 ใน 3 ของคนไทยเป็นโรคอ้วน 
ที่น่าตกใจมากคือคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วยเป็นโรคอ้วนและยังคงใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการลุกลามของโรคอ้วนต่อไป



อันตรายของไขมันในช่องท้อง (Visceral fat)

โรคหลอดเลือดและหัวใจ
โรคมะเร็ง
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคภาวะสมองเสื่อม
โรคเบาหวาน
โรคซึมเศร้า
โรคไขข้อ
โรคการนอนหลับผิดปกติ
โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

วิธีลดไขมันในช่องท้อง

1. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยการลดอาหารประเภทไขมันลง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ที่ติดมัน หนังสัตว์ อาหารทะเลพวกกุ้งและปลาหมึก น้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว 
ไม่ควรรับประทานอาหารพวกแป้งเกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน 
ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก พืชตระกูลถั่ว

2. ลดอาหารเค็ม ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความดันโลหิต

3. ลดน้ำหนัก พบว่าการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัว จะชะลอหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

4. แนะนำให้ออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน 
ในกรณีที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้วการออกกำลังกายจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น

ควรปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อช่วยลดไขมันช่องท้อง ได้แก่

 1. เปลี่ยน "ข้าวขาว-แป้งขาว-น้ำตาล" เป็นธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังเติมรำ(โฮลวีท) 
งดเครื่องดื่มเติมน้ำตาล เช่น ชาเขียวรสหวาน-กาแฟเย็น เป็นน้ำเปล่า

 2. กินโปรตีนจากพืช (ถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตร งา ) งดของทอด งดเนื้อสัตว์
 3. ลดไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ
 4. ลดไขมันทรานส์ หรือไขมันแปรรูปในโรงงาน เช่น เบเกอรี่ คุกกี้ เค้ก ขนมใส่ถุง ฟาสต์ฟูด ฯลฯ

ระวังอย่าไม่ลดน้ำหนักเร็วเกิน 1/2 กก./สัปดาห์ เนื่องจากร่างกายอาจปรับตัวเข้าสู่ภาวะขาดอาหาร  ซึ่งจะเพิ่มการสะสมไขมันช่องท้องได้ 


 การลดน้ำหนักเร็วเพิ่มเสี่ยงหนังเหี่ยว หน้าแก่ได้

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สนใจหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจหน่อย



หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจ มีชื่อว่า โคโรนารี Coronary
เป็นโรคนี้จึงเรียกว่า โรคหัวใจโคโรนารี Coronary Heart Disease (CHD)



โรคนี้ทำให้คนตายมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็ง
แต่เป็นโรคที่ทำให้ตายอย่างฉับพลัน เป็นอันดับ 1



เป็นการตายที่น่าตระหนก อย่างยิ่งสำหรับผู้ใกล้ชิด ญาติสนิท มิตรสหาย

มีผู้เสียชีวิตทันทีโดยไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเป็นโรคหัวใจโคโรนารีถึง
หนึ่งในสาม ในสามคนที่ป่วยเกิดอาการหัวใจวายตาย แบบเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

มีถึงสองในสามที่เกิดอาการหัวใจ(Heart Attact)โดยไม่มีอาการเตือนใดๆมาก่อน 

โรคหลอดเลือดแข็งตีบ   เป็นได้กับหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจ สมอง และอวัยวะสำคัญอื่นๆ เป็นที่สมอง อาจตาย อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นที่หัวใจ หัวใจวาย

 โรคหลอดเลือดแข็งตีบ  มักจะเป็นตั้งแต่เด็ก ใช้เวลานับสิบปีกว่าจะมีอาการเตือน หรือไม่ก็เกิดอาการแล้วเสียชีวิตเลย


ดีที่เป็นโรคที่ป้องกันได้ และถ้าเป็นแล้วสามารถบำบัดให้ฟื้นสภาพได้ทุกระยะของโรค
ปัจจุบันยอมรับกันว่า โรคหลอดเลือดแข็งตีบ เกิดจากการอักเสบไม่ใช่จากความชราภาพ

การขดลวดเข้าไปถ่างหลอดเลือดตรงที่ตีบให้เลือดวิ่งผ่านไปได้ ทำได้สำเร็จประเมินว่ามีอยู่ประมาณ 99.5% 



แต่ไม่ได้หายจากการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เพราะบอลลูนไม่ได้ทำให้คุณหายจากโรค ข้อมูลที่วงการแพทย์มีที่สุดแล้ว 60% ของขดลวดทุกอันจะจบลงด้วยการตีบตัน (restenosis) โดยในจำนวนนี้ 21% จะกลับตีบตันภายใน 6 เดือน 

จึงต้องป้องกันโรคหัวใจไม่ให้เป็นมากขึ้นเกิดการตีบตัน (restenosis)อีกคือ

1 การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นการควบยาแอสไพรินกับยาคอลพิโดเกรล (พลาวิกส์) ไปอย่างน้อยหนึ่งปีหรือตลอดชีวิต 

2 การใช้ยาจัดการปัจจัยเสี่ยงอย่างเข้มงวด เช่นใช้ยาลดความดันให้ต่ำกว่า 130/80 ใช้ยาลดไขมัน LDL ให้ต่ำกว่า  100 mg/dl 




3 การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ออกกำลังกายให้ถึงระดับมาตรฐาน จนเหงื่อออก ร้องเพลงไม่ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วันวันละ 30นาที ควบกับเล่นกล้ามแบบยกน้ำหนักอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 วัน

กินข้างกล้อง 50% 
ผักผลไม้ 35% ถั่วต่างๆ10% อื่นๆ 5% งดสูบบุหรี่ เหล้า




วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อุจจาระกับโรคแห่งความเสื่อม 


คนส่วนมากรับประทานอาหารมากกว่า 3 มื้อ ในแต่ละมื้อก็รับประทาน จนแน่นท้อง แต่พอถึงเวลาที่ร่างกายจะเอากากอาหารออกกลับกลั้นไว้จนกลาย เป็นโรคท้องผูก คือถ่ายยากต้องเบ่งกันหน้าดำหน้าแดง 




 จนเป็นต้นเหตุทำให้ เกิดโรคต่าง ๆ เช่น ริดสืดวงทวารหนัก ลำไส้ใหญ่อักเสบ ลำไส้ใหญ่พองตัว เป็นสิวตามใบหน้า นํ้าเหลืองเสืย โลหิตจาง ไส้เลื่อน เป็นลมอัมพาต ทำงานที่ ต้องออกแรงเพียงเล็กน้อยจะมีอาการใจสั่นมาก มีโรคภูมิแพ้ หอบหิด ปวดคืรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อ โรคไส้ติ่งอักเสบ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว ลิ้นเป็นฝ้า อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ หรือเป็นมะเร็งลำไส้



ลำไส้ใหญ่เป็นเหมือนถังขยะที่รับของเสียของร่างกาย สารพีษจาก แบคทีเรียเศษอาหารที่ย่อยไม่หมดรวมทั้งนํ้าคือาจพัฒนาไปเป็นโรคไธรอยดํ โรคเชื้อรา โรคสมองอักเสบ โรคเบาหวาน ฯลฯ

ลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียอยู่ 2 พวก

พวกที่ 1 เป็นพวกที่ดี เช่น สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) แลคโต บาซิลลัส (Lactobacillus) ช่วยลังเคราะห์วิตามิน บี 1 บี 6 บี 12 โดยการย่อยกาก อาหารที่ได้จากใยอาหารของพืช ผัก ผลไม้ และยังสังเคราะห์วิตามิน เค อีกด้วย พวกนี้มักอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนทอดขึ้น ที่เรียกว่า ซีคั่ม ที่ด้านล่างติดกับไส้ติ่ง


พวกที่ 2 อาศัยอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดลง ที่อยู่ทางด้านซ้ายของท้องน้อย เป็นพวกตัวร้าย เช่น อีโคไล (E.coli) แบคเตอรอยเดส (Bacteroides)  จะทำการเปลี่ยนกรดนํ้าดี (Bile acid) ทั้งสามชนิดที่ปนอยู่ในอุจจาระให้เป็นสารที่มีพีษต่อร่างกาย เป็น สารก่อมะเร็ง คือ

1. กรดโคสิค (Cholic acid) ไปเป็นกรดแอฟโคสิค (Apcholic acid)

2. กรดดีออกซิโคลิค (Deoxycholic acid) ไปเป็น ดีออกซี่เมธีลโคแลน ธรีน (3-Methylcholanthren)

3. กรดลิโธ่โคลิค (Lithocholic acid) ไปเป็นลิโธโคแลท (Lithocholate) ซึ่งเป็นสารที่ยับยั้งตับไม่ให้สร้างกรดน้ำดีจากโคเลสเตอรอล ทำให้ มีโคเรสเตอรอลเหลือในเลือดมากขึ้น มีผลต่อระบบหัวใจ ทำให้เส้นเลือดกระด้างไม่มีความยืดหยุ่น เกิดมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด 
และจากการสร้างกรดนํ้าดีน้อยลงทำให้ย่อยไขมันได้ไม่หมด เป็น เหตุให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

นอกจากนี้แบคทีเรียตัวร้ายจะผลิตเอนไซม์ซึ่อยูรีแอส (Urease)
ออกมาเปลี่ยนยูเรีย (Urea) ที่เกิดจากสารพวกโปรตีนที่ถูกขับจากตับลงสู่ลำไส้ใหญ่ให้เป็น

1. แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นต่างที่มีพิษต่อ ตับ ไต
2. อินดอส (Indole) ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมาก
3. สแกดอส (Skatole) ทำให้อุจจาระและลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
4. สแกตีล (Skatyl) ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมาก

สารพิษที่อยู่ในลำไส้ใหญ่นี้มีสภาวะเป็นต่าง ทำให้การทำงานของลำไส้ ผิดปกติ เพราะตามธรรมชาติแล้วลำไส้มีสภาวะเป็น “กรด” พิเอช (Ph) ประมาณ 5.5 สารเหล่านี้เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น 

เพื่อทำลายพิษที่เกิดขึ้นจากอุจจาระและขับออกจากร่างกายทางไตในรูปของ ปัสสาวะ บางส่วนก็ต้องออกมาทางอุจจาระอิก ถ้าท้องยังผูกอยู่ก็ขับสารพิษพวกนี้ไม่ได้ แบคทีเรียตัวร้ายก็จะเปลี่ยนให้เป็นสารพิษอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ นานวันเข้าทั้งตับและไตจะเสื่อมลง ทำให้ระบบน้ำเหลือง ระบบประสาท ระบบ ภูมิคุ้มกันและระบบอื่น ๆ เกิดความขัดข้อง ชำรุด ทรุดโทรมไปทั้งหมด เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม เช่น โรคหัวใจ โรคเก๊าท้ โรคภูมิแพ้ โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความตันโลหิตสูง ฯลฯ 

การสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ จะล้างอุจจาระที่ทีพิษ ทอกซิน(Toxin)ที่อยู่ในบริเวณนี้ออกไป


วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การสวนล้างพิษตับด้วยกาแฟ


นายแพทย์กอนซาเลส จบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญด้านภูมิต้านทาน
น.พ. กอนซาเลส ได้กล่าวว่า คนไข้ของท่านสบายขึ้นหลังจากการสวนทวารฯ จากการติดตามผลนับพันรายในรอบสิบปีทุกรายบอกรู้สึกดีมาก ตัว น.พ.กอนซาเลสเองได้ทำสวนทวารฯทุกวันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524)

ดอคเตอร์  ลี วัตเทนเบร์ก พบว่าในกาแฟ มี คาวีออล และคาเฟสตอล ปาลมีเตต ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ตับสร้างเอ็นไซม์ กลูตาไธโอน เอส ทรานเฟอเรส ซึ่งมีฤทธิ์ในการทำลายพิษของอนุมูลอิสระในเลือด รวมทั้งสารก่อมะเร็งต่างๆ
สถาบันเกอร์สันใช้การสวนล้างสารพิษในลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟเป็นหนึ่งในขบวนการรักษาโรคแห่งความเสื่อมรวมทั้งมะเร็ง
การทำการสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่จะไม่ทำให้เป็น มะเร็งลำไส้ แต่เป็นหนึ่งในวิธีการรักษามะเร็ง

วิธีสวนล้างพิษตับด้วยกาแฟ



ใช้ผงกาแฟแบบชงละลาย 100% ใช้สวนทวารหนัก 7 ก้าว  1 ช้อนโต๊ะปาด หรือ 3 ช้อนชาปาด
 ใช้ผงกาแฟแบบชงละลาย 100% ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้สวนทวารหนักเท่านั้น 










ใส่ 7ก้าวรีท็อกวิตามินหนึ่งซอง


เติมน้ำเย็นสามแก้ว 


    เติมน้ำร้อนอีกหนึ่งแก้ว (250 ซี.ซี.) รวมได้น้ำกาแฟประมาณ 1,000 ซี.ซี.  

เอานิ้วก้อยของเราจุ่มลงไปในน้ำกาแฟ แล้วนับ 1- 20 ถ้านิ้วก้อยเราทนความร้อนของน้ำกาแฟนี้ได้ ก็จะได้น้ำกาแฟที่พอดีกับอุณหภูมิของร่างกายเรา


  ก่อนที่จะเทน้ำกาแฟที่ผสมเสร็จแล้วลงในถุงสวนเราจะต้องปิดวาล์วก่อนแล้วจึงค่อยเทน้ำกาแฟลงไป


ยกสายยางขึ้นสูงแล้วเปิดวาล์วเพื่อปล่อยน้ำไล่อากาศในสายสวนออกให้หมด(ถ้าในสายยางมีลมจะทำให้มีลมดันออกมาเวลาสวนทวารฯ) ปิดตัวล็อควาล์ว


จะได้สารละลายกาแฟ 1,000ซีซี ถ้าท่านสูงเกิน160 มม.อาจเติมน้ำอุ่นให้เป็น1,200ซีซี
 ทาเจลที่สาย    สวนประมาณ 3 นิ้วและทาที่รูทวารหนักให้ลื่นด้วยเจล


นอนตระแคงขวาเปิดวาวให้น้ำกาแฟไหลเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ถ้าปวดถ่ายให้ปิดวาวหายใจเข้าเป่าลมออกจนหายปวดถ่ายค่อยเปิดวาวให้กาแฟไหลต่อไปจนหมด



นอนหงายแล้วพยายามอั้นไว้ให้ได้ 12นาที ไม่ควรเกิน 15 นาที
(ถ้าอั้นเกิน 15 นาทีกาแฟอาจจะล้นจากตับไปที่กระแสโลหิต แล้วอาจจะทำให้ใจสั่นหรือปัสสาวะบ่อยได้)  
นวดหน้าท้องบริเวณใต้สะดือ 
นวดท้องจากขวาไปซ้ายและนวดจากล่างขึ้นบน 
วนเป็นวงกลมจนปวดถ่ายจึงค่อยไปถ่าย 
ในระหว่างที่นั่งถ่ายก็ยังนวดหน้าท้องไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะถ่ายหมด