การกินอาหารยังต้องรู้วิธีกินด้วย
ตามปกติ
การกินต้องอาศัยการเคี้ยว ขณะที่ ค่อย ๆ เคี้ยวนั้น ระดับน้ำตาล ในเลือดจะค่อย ๆ
สูงขึ้น สมองก็จะได้รับพลังงาน ให้รู้สึกดี อร่อยจัง
การเคี้ยวเป็นการกระตุ้น
จากการกระทบกันของปากและขากรรไกร ซึ่งถูกส่งเป็นสัญญาณไปกระตุ้นไฮโพทาลามัสและอะมิกดาลา
ที่อยู่ใต้สมองใหญ่ช่วยเพิ่มพลังภูมิคุ้มกัน
และการเคี้ยวยังช่วยฟื้นฟูแก้อาการสมองเสื่อมผู้สูงอายุ
และเป็นประโยชน์ที่ทำให้ความทรงจำคงอยู่ยาวนาน ไม่หลงๆลืมๆ
ในประเทศญี่ปุ่นพบโดยบังเอิญว่าผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอมครบชุดทำให้เคี้ยวอาหาร
ได้ดี มีความจำดีขึ้นมาก
จนเกิดการหาทุนช่วยบริจากฟันปลอมให้กับผู้สูงอายุที่ยากจนเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุ
เหล่านี้มีสุขภาพดีขึ้น
ความจำดีขึ้น
แต่ปัจจุบันมีอาหารพวกสแน็กไม่ต้องเคี้ยวก็รู้สึกอร่อยได้
เพราะถูกผลิตให้มีรสชาติแบบที่เมื่อเอาใส่ปากจะรู้สึก “อร่อย” ทันทีอาจารย์เดะโอะ
มะกอชิ (Hideo Makuuchi) กล่าวไว้ว่าสารปรุงรสที่อยู่ในสแน็กนั้นทำให้แม้ไม่เคี้ยวก็ได้ความรู้สึกเป็นสุขสุดยอดจากการกินส่งไปถึงสมองได้โดยตรง
หากกินแต่อาหารประเภทนี้บ่อยๆ สมองจะขาด การกระตุ้นจากการเคี้ยว
สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติก็จะเสียไป
มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์โลกที่มีพัฒนาการมาด้วยระยะเวลาอันนานแสนนานตามธรรมชาติถึง3,800
ล้านปี ในธรรมชาติ แทบไม่มีอาหารชนิดไหนที่ได้พลังงานโดยไม่ต้องเคี้ยว อาหาร 1 คำ เคี้ยว 30 ครั้งจะดีต่อสุขภาพมาก ความจริงอาหารสแน็กหรืออาหารจานด่วน
(ฟาสฟูด) ถ้าเคี้ยวถึง 30 ครั้ง อาหารในปากจะเละไม่น่ากินอีกต่อไป
นอกจากนี้
ยังมีแนวคิดเรื่องของการใช้ของกินเล่นผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความเครียด
ซึ่งกลับได้ผลตรงข้าม เพราะหากกินแต่ของกินเล่น แบคทีเรียที่ดีในลำไส้จะลดลง
ภูมิคุ้มกันก็ต่ำลง สมองไม่เพียงแต่สูญเสียการรับรู้รสชาติ
ยังมีความเป็นไปได้ที่สมองอาจถูกกระตุ้นไม่มากพอจนเกิดภาวะเสื่อมถอยได้