วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไขมันพอกตับ อาจทำให้โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งกำเริบ
ไขมันพอกตับ( fatty liver) เป็นภัยเงียบ


หนึ่งในสี่ของประชากรอเมริกันมีภาวะไขมันพอกตับ
เป็นโรคที่คุกคามสุขภาพอย่างมากแต่คนไม่ค่อยรู้เพราะไขมันพอกตับไม่ได้เป็นสาเหตุการตายโดยตรงแต่มันเป็นตัวเร่งการ ให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
ไขมันพอกตับเกิดจากมีน้ำตาลในเลือดมาก จนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน
( lipogenesis)






ในปัจจุบันน้ำตาลที่เรียกว่า น้ำเชื่อมข้าวโพดชนิดฟรุ้คโต้สสูง (High fructose corn syrup เขียนย่อว่า HFCS) ที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนำมาใช้ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่อง ดื่มสำเร็จรูปทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำอัดลม อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ
ในวงการยาพูดกันว่า เมื่อ อย.อเมริกาอนุญาต ให้ใช้น้ำเชื่อมข้าวโพดมีบริษัทยายักษ์ใหญ่รีบชื้อลิขสิทธิ์ยาแก้แพ้ คลอเฟนนิคอล และยาแก้โรคเบาหวานพวกคลอโปรลาไมด์ไว้ขายให้ผู้ป่วยเบาหวานและพวกภูมิแพ้ที่จะเพิ่มขึ้น




ขณะที่กลูโค้สเป็นน้ำตาลที่ย่อยสลายและใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ทันทีโดยเซลทุกชนิดในร่างกาย แต่ฟรุ้คโตสอาศัยโมเลกุลตัวพาที่เรียกว่า GLUT – 5 transporter ซึ่งเซลร่างกายทั่วไปมีใช้จำกัดมาก มีแต่เซลตับเท่านั้นที่ใช้ฟรุ้คโตสได้ดี แต่ถ้ากินเข้าไปมากๆแบบว่าดื่มโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรทุกวัน ตับใช้ไม่ทันฟรุ้คโต้สจะเหลือใช้ ตับเก็บตุนไว้ที่ตับ และธรรมชาติของอาหารให้พลังงานทุกชนิด หากเหลือใช้จะถูกเปลี่ยนเป็น อะเซติลโคเอ. (acetyl CoA) แล้วถูกนำเข้าเก็บในรูปของไขมัน ฟรุ้คโต้สก็เช่นกัน เมื่อเหลือใช้จึงจะถูกนำเข้าเก็บที่ตับในรูปของไขมัน ซึ่งถ้ามากๆก็เกิดภาวะไขมันแทรกตับ ถ้าแทรกมากๆเซลตับก็จะอักเสบ เรียกว่าโรคตับอักเสบจากไขมันโดยไม่เกี่ยวกับอัลกอฮอล์ (NASH) อันว่าตับของคนเรานี้ เมื่อได้เป็นตับอักเสบแล้ว ไม่ว่าจะอักเสบจาก NASH หรือจากแอลกอฮอล์ หรือจากไวรัสลงตับ อนาคตล้วนมุ่งไปสู่ที่เดียวกันคือร่างกายจะพยายามซ่อมด้วยการแทรกพังผืดเข้าไปทำให้กลายเป็นตับแข็ง และภาวะตับแข็งนี้แหละ ที่นำสู่การเป็นมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งยอดนิยมของไทยเรา การบริโภคน้ำเชื่อม HFCS มากเกินขนาดจึงมีผลเสียหายในทางทฤษฏีได้ถึงขนาดนี้แหละ





ไขมันพอกตับ เป็นตัวเร่งให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การดื้ออินซูลิน ภาวะก่อนเบาหวาน มีการสะสมไขมันตามพุง อวัยวะต่างๆ และตับ
ไขมันที่สะสมตามพุง ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น ระดับไขมันดี (HDL)ลดลง แต่กลับเพิ่มไขมันเลว(LDL) ที่อันตรายเพิ่มมากขึ้น เพิ่มอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ และนี่เองคือสิ่งที่คนทั่วไปไม่ตระหนักถึงภัยอันน่ากลัวว่าไขมันพอกตับนี่ก็ทำให้หัวใจวายได้
ปัจจุบันเราพบเด็กอายุแค่12 ขวบ ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ต้องเข้ารักษาผ่าตัดปลูกถ่ายตับกันแล้ว






ในเมืองไทยนอกจากน้ำอัดลม ยังมี เครื่องดื่มชาเขียว ชาขาว จับเลี้ยง นมเปรี้ยว กาแฟกระป๋องฯลฯ ที่ประดังน้ำตาลผสมเข้าไปตั้งแต่8-12ช้อนชา

ทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากไขมันพอกตับ 

1. เลิกดื่มเครื่องดื่ม high fructose corn syrup ก่อนจะซื้อมาบริโภคไม่ว่าซอสมะเขือเทศ น้ำสลัด อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมด้วย น้ำตาลชนิดนี้หรือไม่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่เคยทราบมาก่อนว่าซอสมะเขือเทศบรรจุขวดมักมีปริมาณ น้ำตาลมากกว่า 
คุ้กกี้ เมื่อเทียบตามปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคเท่าๆกัน

2. ลดแป้งขัดขาว งดเนื้อสัตว์ ในมื้ออาหาร เพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว ธัญพืชที่มีเมล็ดเช่นเมล็ดฟักทอง งา 

3. ลงทุนกับน้ำมันปรุงอาหารเช่น น้ำมันมะกอก (olive oil), macadamia nut oil

4. ทานไขมันที่มีคุณค่าเช่น น้ำมันปลา (fish oil) น้ำมันมะกอกเพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์ตับ.
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ30นาที เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ อันเป็นการลดความเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลิน และไขมันพอกตับ ไปในตัว

6. ส่วนวิตามิน B vitamins และแมกนีเซี่ยม magnesiumจะช่วยสนับสนุนให้ตับเยียวยาซ่อมสร้างเซลล์ตับที่เสียหายได้ดีขึ้น

7. ทานผักที่ช่วยล้างพิษ เร่งกำจัดพิษจากตับเช่น ผักตระกูลบร็อคเคอรี่ คะน้า กะหล่ำ กระเทียม หัวหอม 
8. สมุนไพรและสารเสริมอาหารบางชนิดก็ช่วยได้เช่น Milk Thistle. , Lipoic Acid, N-Acetyl-l-Cysteine อันเนื่องจากผลเข้าไปเสริมให้ตับสร้างสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากในตับ คือ glutathione
9.สวนล้างพิษตับด้วยกาแฟทุกวันเพื่อกระตุ้นตับให้ขับ พิษออกจากตับและทำให้ลำไส้สะอาด 
การสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟกระตุ้นตับให้หลั่งเอ็นไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานสเฟอเรส

จากการทดลองพบว่าเมื่อกาแฟดูดซึมเข้าไปในตับ สารคาเฟอีน (Caffeine) จะกระตุ้นให้ตับทำงานได้ดีขึ้น ขจัดสารพิษได้ดี และในกาแฟยังมีเกลือคาเฟสดอล ปาลมีเตท  (Cafestol palmitate) กับเกลือคาวีออล ปาลมีเตท (Kahweol palmitate) ซึ่งจะกระตุ้นตับให้หลั่งเอ็นไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานส้เฟอเรส ออกมามากกว่าปกติถึง 650 % เอ็นไซม์ตัวนี้อยู่'ในกระบวนการสำคัญ'ในการ ขจัดเซลล์มะเร็งที่เรียกว่าคาร์ซีโนเจนิค ดีท๊อกซ์ซึพิเคซั่น (Carcinogenic detoxification)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น