วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ระวังเบาหวาน จะจบที่ ตา ตีน ไต หัวใจ ตาย

เป็นเบาหวานต้องระวัง ตา ไต ตีน หัวใจ หรือตาย



เป็นเบาหวาน และดูแลรักษาไม่ดีแล้ว อวัยวะที่อาจจะเสื่อมสภาพไปที่สำคัญนั้น จะอยู่ที่ "ตา-หัวใจ-ไต-ตีน"












เบาหวาน ถ้ามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่เกิน ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ มิลลิลิตร ผู้ป่วยมักจะรู้สึกสุขสบาย จะมีอาการชัดเจน เช่น กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย ต่อเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดเกิน ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ มิลลิลิตร ขึ้นไป 
ความดันเลือดสูงเล็กน้อยถึงปานกลาง มักจะรู้สึกสบายดี จะมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ต่อเมื่อความดันสูงมากๆ เช่น มากกว่า ๑๘๐/๑๑๐ มิลลิเมตรปรอท
  


สำหรับโรคเรื้อรังกลุ่มนี้ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นรุนแรงไม่มาก (และไม่มีอาการแสดง) แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ เข้า อาจเป็นเวลา ๕-๑๐ ปีขึ้นไป ก็อาจก่อเกิดโรคแทรกซ้อนอันตรายได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) โรคหลอดเลือดสมองตีบ (อัมพาต อัมพฤกษ์)  โรคหลอดเลือดไตตีบ (ไตวาย) โรคแทรกซ้อนเหล่านี้มักค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นทีละน้อย โดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว สะสมจนถึงจุดที่โรคระเบิดออกมา ก็จะปรากฏอาการที่น่าตกใจ และยุ่งยากในการเยียวยาต่อไป วงการแพทย์จึงเรียกขานโรคเรื้อรังกลุ่มนี้ว่า silent killer ซึ่งแปลว่า "นักฆ่าเงียบ"  ดังนั้นการที่จะบอก (ตัดสิน) ว่าโรคเรื้อรังกลุ่มนี้รักษาได้ผลหรือยัง จึงไม่สามารถดูจากอาการแสดงของโรคได้ แต่ต้องมีการตรวจความดัน (สำหรับโรคความดันเลือดสูง) และระดับน้ำตาลในเลือด (สำหรับเบาหวาน) เป็นระยะๆ จึงจะทราบผลแน่นอน 










ผู้ป่วย ตรวจเลือดน้ำตาล240 หมอบอกเป็นเบาหวานเอายาไปกิน
พอกินยา รู้สึกวิงเวียน ใจสั่น หงุดหงิด เพลียหมดแรง เลยเลิกกินยา
.ใช้วิธีรักษาตัวเอง กินอาหารหวานๆ น้อยลง ออกกำลังกายด้วยการวิ่งจอกกิ้งทุกวัน หลังๆกินอะไรไม่ลง ได้แต่ดื่มน้ำ ผอมลงน้ำหนักลดลง 4 กก.กลัวเป็นมะเร็ง 



ตามความจริงจะต้องไปหาหมอใหม่ บอกหมอเรื่องอ่อนเพลีย น้ำหนักลด และไม่ได้กินยาหมอ
การใช้ยาสมุนไพลแก้เบาหวาน เว้นไว้ก่อน

ที่จริงการกิน ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาแก้เบาหวานนั่นแหละถ้ากินไม่ไม่เป็นจะเกิด อาการของน้ำตาลในเลือดต่ำคือหัวเบา วิงเวียน สับสน หวิวๆ เหงื่อแตก ปวดหัว ซึ่งเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นต้องรีบหาอะไรหวานๆกินทันที ต้องพกลูกอมหวานๆติดกระเป๋าไว้ด้วย ในภาวะปล่อยให้น้ำตาลต่ำบ่อยๆไม่ดีเพราะทำให้สมองเสื่อมได้ 

แต่การกลัว ฤทธิยาไม่ยอมกินยา ร่างกายจะไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคส ร่างกายจะเริ่มใช้กล้ามเนื้อ ไขมัน แทนน้ำตาลกลูโคส ทำให้น้ำหนักตัวลดลง

ปกติไตจะรับมือกับน้ำตาลในเลือดได้ไม่เกิน 240 มก./ดล. ถ้าน้ำตาลสูงกว่านั้นก็มักจะดูดเอาน้ำออกมาจากร่างกายทำให้ช็อกได้ ต้องเข้ารพ.ลูกเดียว



ถ้าเซลล์ร่างกายทั้งหลายเอากลูโค้สในเลือดไปใช้ไม่ได้ 
เพราะอินสุลินที่มีหน้าที่เอาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ไม่ได้
เรียกว่าเซลล์ร่างกายดื้อต่ออินสุลิน 
เมื่อเซลล์ทั่วร่างกายขาดน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจำเป็น
สำหรับเซลล์ 
ร่างกายก็ต้องดิ้นรนหันไปใช้พลังงานด้วยการ
ปล่อยฮอร์โมนกลูคากอนซึ่งสร้างน้ำตาลจากไกลโคเจนในตับ
ออกมา 
ปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอลและอีพิเนฟรินซึ่งจะสลายโปรตีน
มาทำเป็นกลูโค้ส และสลายไขมันมาเป็นคีโตนเพื่อให้
พลังงานแก่เซลล์ 
ยังผลให้มีการสลายกล้ามเนื้อไปเป็นน้ำตาล ทำให้กล้ามเนื้อลีบ 
พุงหดหาย และน้ำหนักตัวลดลงไปอย่างรวดเร็ว 
และทำให้น้ำตาลและคีโตนในเลือดสูงขึ้นมาก 
เลือดมีความเข้มข้นมาก 
ซึ่งจะเกิดแรงออสโมซีสดูดเอาน้ำจากช่องว่างนอกเซล
เข้ามาในกระแสเลือด ทำให้โซเดียมในเลือดเจือจาง
กลายเป็นภาวะโซเดียมต่ำเฉียบพลัน ทำให้สมองเกิดอาการ
เป๋ๆมึนๆ งงๆ 
อีกด้านหนึ่งเมื่อมีน้ำตาลและคีโตนมากร่างกายก็ต้อง
ขับน้ำตาลและคีโตนทิ้งทางปัสสาวะ 
ซึ่งก็ต้องอาศัยน้ำจำนวนมากในการขับจนร่างกายขาดน้ำ 
จนทำให้ปากแห้งคอแห้งกระหายน้ำต้องดื่มน้ำบ่อย 
สารกลุ่มคีโตนเองมีฤทธิ์ทำให้คลื่นไส้อาเจียน 
แถมมีฤทธิ์เป็นกรดทำให้เลือดมีความเป็นกรดมาก 
จนร่างกายต้องเคลื่อนย้ายเอาโปตัสเซียมออกมาจากเซล
เพื่อมาต้านความเป็นกรด 
อีกด้านหนึ่งร่างกายก็ต้องบังคับการหายใจให้หอบเหนื่อย
เพื่อไล่เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปทางลมหายใจให้เร็วขึ้น
เพื่อช่วยลดความเป็นกรด คนที่ตกอยู่ในภาวะร่างกายเป็นกรด
และคีโตนคั่งจากเบาหวานหรือ DKA(Diabetic Keto Acidosis) 
จะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน กินอะไรไม่ลง  ปัสสาวะบ่อย 
คอแห้งปากแห้ง หอบเหนื่อย หมดเรี่ยวหมดแรง สลึมสลือ 
หายใจมีกลิ่นคล้ายละมุด ไม่รีบไปโรงพยาบาลตายได้จริงๆ



      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น