วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อุจจาระกับโรคแห่งความเสื่อม 


คนส่วนมากรับประทานอาหารมากกว่า 3 มื้อ ในแต่ละมื้อก็รับประทาน จนแน่นท้อง แต่พอถึงเวลาที่ร่างกายจะเอากากอาหารออกกลับกลั้นไว้จนกลาย เป็นโรคท้องผูก คือถ่ายยากต้องเบ่งกันหน้าดำหน้าแดง 




 จนเป็นต้นเหตุทำให้ เกิดโรคต่าง ๆ เช่น ริดสืดวงทวารหนัก ลำไส้ใหญ่อักเสบ ลำไส้ใหญ่พองตัว เป็นสิวตามใบหน้า นํ้าเหลืองเสืย โลหิตจาง ไส้เลื่อน เป็นลมอัมพาต ทำงานที่ ต้องออกแรงเพียงเล็กน้อยจะมีอาการใจสั่นมาก มีโรคภูมิแพ้ หอบหิด ปวดคืรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อ โรคไส้ติ่งอักเสบ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว ลิ้นเป็นฝ้า อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ หรือเป็นมะเร็งลำไส้



ลำไส้ใหญ่เป็นเหมือนถังขยะที่รับของเสียของร่างกาย สารพีษจาก แบคทีเรียเศษอาหารที่ย่อยไม่หมดรวมทั้งนํ้าคือาจพัฒนาไปเป็นโรคไธรอยดํ โรคเชื้อรา โรคสมองอักเสบ โรคเบาหวาน ฯลฯ

ลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียอยู่ 2 พวก

พวกที่ 1 เป็นพวกที่ดี เช่น สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) แลคโต บาซิลลัส (Lactobacillus) ช่วยลังเคราะห์วิตามิน บี 1 บี 6 บี 12 โดยการย่อยกาก อาหารที่ได้จากใยอาหารของพืช ผัก ผลไม้ และยังสังเคราะห์วิตามิน เค อีกด้วย พวกนี้มักอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนทอดขึ้น ที่เรียกว่า ซีคั่ม ที่ด้านล่างติดกับไส้ติ่ง


พวกที่ 2 อาศัยอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดลง ที่อยู่ทางด้านซ้ายของท้องน้อย เป็นพวกตัวร้าย เช่น อีโคไล (E.coli) แบคเตอรอยเดส (Bacteroides)  จะทำการเปลี่ยนกรดนํ้าดี (Bile acid) ทั้งสามชนิดที่ปนอยู่ในอุจจาระให้เป็นสารที่มีพีษต่อร่างกาย เป็น สารก่อมะเร็ง คือ

1. กรดโคสิค (Cholic acid) ไปเป็นกรดแอฟโคสิค (Apcholic acid)

2. กรดดีออกซิโคลิค (Deoxycholic acid) ไปเป็น ดีออกซี่เมธีลโคแลน ธรีน (3-Methylcholanthren)

3. กรดลิโธ่โคลิค (Lithocholic acid) ไปเป็นลิโธโคแลท (Lithocholate) ซึ่งเป็นสารที่ยับยั้งตับไม่ให้สร้างกรดน้ำดีจากโคเลสเตอรอล ทำให้ มีโคเรสเตอรอลเหลือในเลือดมากขึ้น มีผลต่อระบบหัวใจ ทำให้เส้นเลือดกระด้างไม่มีความยืดหยุ่น เกิดมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด 
และจากการสร้างกรดนํ้าดีน้อยลงทำให้ย่อยไขมันได้ไม่หมด เป็น เหตุให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

นอกจากนี้แบคทีเรียตัวร้ายจะผลิตเอนไซม์ซึ่อยูรีแอส (Urease)
ออกมาเปลี่ยนยูเรีย (Urea) ที่เกิดจากสารพวกโปรตีนที่ถูกขับจากตับลงสู่ลำไส้ใหญ่ให้เป็น

1. แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นต่างที่มีพิษต่อ ตับ ไต
2. อินดอส (Indole) ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมาก
3. สแกดอส (Skatole) ทำให้อุจจาระและลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
4. สแกตีล (Skatyl) ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมาก

สารพิษที่อยู่ในลำไส้ใหญ่นี้มีสภาวะเป็นต่าง ทำให้การทำงานของลำไส้ ผิดปกติ เพราะตามธรรมชาติแล้วลำไส้มีสภาวะเป็น “กรด” พิเอช (Ph) ประมาณ 5.5 สารเหล่านี้เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น 

เพื่อทำลายพิษที่เกิดขึ้นจากอุจจาระและขับออกจากร่างกายทางไตในรูปของ ปัสสาวะ บางส่วนก็ต้องออกมาทางอุจจาระอิก ถ้าท้องยังผูกอยู่ก็ขับสารพิษพวกนี้ไม่ได้ แบคทีเรียตัวร้ายก็จะเปลี่ยนให้เป็นสารพิษอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ นานวันเข้าทั้งตับและไตจะเสื่อมลง ทำให้ระบบน้ำเหลือง ระบบประสาท ระบบ ภูมิคุ้มกันและระบบอื่น ๆ เกิดความขัดข้อง ชำรุด ทรุดโทรมไปทั้งหมด เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม เช่น โรคหัวใจ โรคเก๊าท้ โรคภูมิแพ้ โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความตันโลหิตสูง ฯลฯ 

การสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ จะล้างอุจจาระที่ทีพิษ ทอกซิน(Toxin)ที่อยู่ในบริเวณนี้ออกไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น